ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (2)
พิศาล บุญผูก
พระธรรมศาสตร์ พระเจ้าฟ้ารั่ว พระธรรมศาสตร์ พระเจ้าฟ้ารั่ว เป็น พระธรรมศาสตร์ ที่เก่าแก่ อีกฉบับหนึ่งของ มอญ และแพร่หลายใน รามัญประเทศ เช่นกัน
พระเจ้าฟ้ารั่ว เป็นกษัตริย์ มอญ ครองเมือง เมาะตะมะ พระนามเดิม มะกะโท เดิมเป็น นายพาณิชย์ อยู่บ้านดอนวุ่นใกล้ เมืองสะเทิม หรือ สุธรรมวดี ได้เข้ามาค้าขายใน กรุงสุโขทัย และได้เข้ารับราชการได้รับ พระมหากรุณาธิคุณ จากพ่อขุนรามคำแหง แต่งตั้งให้เป็น กรมวัง ต่อมาได้กลับไปกอบกู้บ้านเมืองคืนจากพม่า ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ครอง เมืองเมาะตะมะ ได้รบพระมหากรุณาธิคุณ จากพ่อขุนรามคำแหง พระราชทานนามว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว
พระเจ้าฟ้ารั่ว ทรงรวบรวม นักปราชญ์ราชบัณฑิตทั้งหลาย โปรดให้ช่วยกันเรียบเรียงตัวบท กฏหมาย ขึ้น เป็นคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ ของ มอญ เรียกว่า พระธรรมศาสตร์พระเจ้าฟ้ารั่ว
พระเจ้าฟ้ารั่ว
พระเจ้าฟ้ารั่ว
พระเจ้าธรรมเจดีย์ กับ คัมภีร์พระธรรมศาสตร์ พระเจ้าธรรมเจดีย์ปิฏกธร ทรงเป็นพระมหาราช ที่ยิ่งใหญ่ของ มอญ องค์หนึ่ง ทรงเป็นนักปราชญ์ นักการปกครองที่สามารถ ได้บวชเป็นพระภิกษุมาก่อน มีความดีความชอบ ที่สามารถช่วยเหลือ พญาท้าวกษัตริย์มอญ ที่พม่าหลอกจับพระองค์ไปไว้ใน กรุงอังวะ รอดพ้นกลับสู่เมือง มอญได้ พระนาง จึงขอให้ลาสิกขา มารับราชการ และแต่งตั้งให้เป็น พระมหากษัตริย์มอญ ครองกรุงหงสาวดี พระราชทานพระราชธิดา ให้เป็นพระมเหสี
พระเจ้าธรรมเจดีย์ ทรงปกครองเมือง มอญ เจริญรุ่งเรืองไม่ว่าจะเป็นด้านการปกครอง การพระศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การศึกษา ทรงครองราชย์ร่วมสมัยกับ พระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของไทย
ผลงานที่สำคัญ ของ พระเจ้าธรรมเจดีย์ ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ คือ หลักศิลาจารึก ที่โปรดให้จารึกไว้เมื่อ พ.ศ. 2012 ใน กรุงหงสาวดี ที่ กัลยาณีสีมา เรียกกันทั่วไปว่า จารึกกัลยาณี เป็น ภาษามอญ และภาษาบาลี
จารึกกัลญาณี ได้กล่าวถึง ประวัติศาสตร์ ของ ชนชาติมอญ สมัยโบราณ จนถึงสมยของพระองค์ ส่วนหนึ่งได้กล่าวถึง พระธรรมศาสตร์ พระธรรมวิลาสะ ดังได้กล่าวมาแล้ว และได้กล่าวถึงหลักการปกครอง สมัยของพระองค์ ซึ่งเรียกเป็น ภาษามอญ ว่า “ธรรมเจดีย์ ฮะปยาตฮะโตน” ซึ่งมีลักษณะเป็นหลักจริยธรรม จารีตที่สำคัญในสมัยนั้น ถึงแม้จะไม่ได้เรียกว่า พระธรรมศาสตร์ ก็ตาม แต่ การบริหารบ้านเมือง ของพระองค์ ทรงดำรงอยู่ใน ราชธรรม และ พระราชศาสตร์ ที่กำหนดไว้ตาม พระธรรมศาสตร์ นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงกำหนดไว้ ตาม พระธรรมศาสตร์ ทรงกำหนดระเบียบการคณะสงฆ์ให้สอดคล้องกับ พระวินัย ในพระพุทธศาสนา จึงได้รับ การขนานพระนามว่า ทรงเป็น ธรรมมิกราชา
ในรัชสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์นี้ มีพระสงฆ์ มอญ รูปหนึ่งนามว่า พระพุทธโฆษา ได้บวชใหม่ ที่ประเทศลังกา และมีฉายาใหม่ว่า จุลพุทธโฆษา เพื่อมิให้พ้องกับ พระพุทธโฆษา พระอริยสงฆ์ชาวอินเดีย ผู้ไปเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ที่ลังกาเป็นคณะแรก พระจุลพุทธโฆษา มีความรอบรู้ ทั้งทรงธรรมและทางหลักนิติธรรม ได้แปลคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ ของพระเจ้าฟ้ารั่วจาก ภาษามอญ เป็นภาษาพม่า เพื่อใช้เผยแพร่พระธรรมศาสตร์ ในเมืองพม่าอีกด้วย
จารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ ทีทรงให้จารึกไว้นั้น เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่พม่าได้ทำลายแตกหักยับเยิน เมื่อคราวเข้ายึดหงสาวดีเมื่อ พ.ศ. 2300 หลักที่เป็นภาษามอญนั้นถูกทำลายสิ้น คงเหลือแต่ส่วนที่เป็นภาษาบาลี
พระเจ้าธรรมเจดีย์
ผลงานที่สำคัญ
จารึกกัลญาณี
ในรัชสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์นี้ มีพระสงฆ์ มอญ รูปหนึ่งนามว่า
จารึกกัลยาณีของพระเจ้าธรรมเจดีย์ ทีทรงให้จารึกไว้นั้น เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่พม่าได้ทำลายแตกหักยับเยิน เมื่อคราวเข้ายึดหงสาวดีเมื่อ พ.ศ. 2300 หลักที่เป็นภาษามอญนั้นถูกทำลายสิ้น คงเหลือแต่ส่วนที่เป็นภาษาบาลี
พระธรรมศาสตร์ในสยามประเทศ
ไทยได้นำ พระธรรมศาสตร์ มาใช้ตั้งแต่เมื่อใด จากหลักฐานที่มีอยู่ปรากฏว่า ไทยได้นำ พระธรรมศาสตร์ มาเป็นหลักในการปกครองบ้านเมืองตั้งแต่สมัยสุโขทัย
เนื่องจากกรุงสุโขทัย ตั้งอยู่ท่ามกลางอาณาจักรเก่า ที่มีวัฒนธรรมความเจริญสูงมาก่อน คือ อาณาจักรทวาราวดีของมอญและอาณาจักรขอม ทั้งยังได้รับอิทธิพลทางศาสนา จากลังกาและ มอญ พระธรรมศาสตร์ จึงมีบทบาท ในการปกครองสุโขทัย ดังปรากฏใน ศิลาจารึก ที่ขุดพบ ที่ วัดมหาธาตุ สุโขทัย เมื่อ พ.ศ. 2475 ได้กล่าวถึงกฏหมายลักษณะโจรตอนหนึ่งว่า
“อนึ่งไซร้แม้ผู้ใด……ใหญ่สูงแลบส่งคืนเข้าท่านและไว้…..เลยว่าท่านจัก……ด้วยในขบวนในการศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และท่านจักสอดสินไหม ดุจดังขโมยอันลักคบท่าน และไปทันเอาออกจากเมืองนั้นแล แลหนีไปไว้ในกลางเมือง “
ไทยได้นำ
เนื่องจากกรุงสุโขทัย ตั้งอยู่ท่ามกลางอาณาจักรเก่า ที่มีวัฒนธรรมความเจริญสูงมาก่อน คือ อาณาจักรทวาราวดีของมอญและอาณาจักรขอม ทั้งยังได้รับอิทธิพลทางศาสนา จากลังกาและ มอญ พระธรรมศาสตร์
“อนึ่งไซร้แม้ผู้ใด……ใหญ่สูงแลบส่งคืนเข้าท่านและไว้…..เลยว่าท่านจัก……ด้วยในขบวนในการศาสตร์
สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทยเมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงโปรดให้มีการรวบรวม และ เขียนกฏหมาย เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นเป็นหมวดหมู่ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ที่บรรดา ตัวบทกฏหมาย ต้นฉบับเหล่านี้ ได้เสียหายถูกทำลายเสียมาก เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310 เพราะพม่าได้เผาผลาญบ้านเมือง เสียหายขนาดหนัก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา ตัวบทกฏหมาย ในสมัยอยุธยาแล้ว จะเห็นว่ามีรากฐานมาจากคัมภีร์ พระธรรมศาสตร์ มีการดัดแปลงให้เหมาะสม กับจารีตประเพณีนิยม และชีวิตความเป็นอยู่ของไทยในขณะนั้น
หลักฐานที่แสดงว่า ได้มีการนำ พระธรรมศาสตร์ มาใช้ในสมัยอยุธยา และได้ใช้ พระธรรมศาสตร์ ใน รัชกาล สมเด็จพระรามราชาธิราช (พ.ศ. 1938-1952) มาแล้ว หรือก่อนนั้นคือ ในจารึกหลักที่ 3 กฏหมายลักษณะโจร ซึ่งได้อ้างถึง พระธรรมศาสตร์ อยู่เสมอ เช่น ในจารึกด้านที่สอง ตัวบทที่ 23,24 ที่ว่า
(23) ฝูงอันขโมยลักไปแลตนจะสั่งประสงเงินชื่อแลตนพาไปถวายไปเว้นแต่เจ้าไทย
(24) ท่านจัดให้พ้นอาญาท่านดังอั้นพระราชศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อันท่านแต่งได้ค่าสิน
พระธรรมศาสตร์ นี้ได้ใช้มาตลอด สมัยอยุธยา จนถึง สมัยกรุงธนบุรี ใน สมัยกรุงธนบุรี นั้นเป็นช่วง ที่บ้านเมืองต้อง ทำศึกสงคราม มิได้ขาด ทั้งต้องบูรณะบ้านเมืองที่เสียหายอย่างหนัก จากการทำลายล้างของพม่า พระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงนำมาใช้ตลอดซึ่งมี พระธรรมศาสตร์เป็นหลัก ในการปกครองบ้านเมือง
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือพระเจ้าอู่ทอง ผู้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา เป็นราชธานีของไทยเมื่อ พ.ศ. 1893 ทรงโปรดให้มีการรวบรวม และ
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา
หลักฐานที่แสดงว่า ได้มีการนำ
(23) ฝูงอันขโมยลักไปแลตนจะสั่งประสงเงินชื่อแลตนพาไปถวายไปเว้นแต่เจ้าไทย
(24) ท่านจัดให้พ้นอาญาท่านดังอั้นพระราชศาสตร์
พระธรรมศาสตร์
สมัยรัตนโกสินทร์
พระธรรมศาสตร์ ของกรุงศรีอยุธยา ได้ถือปฏิบัติสืบต่อกันมาใน สมัยกรุงธนบุรี จนถึง สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ในรัชกาลที่ 1 จึงมีการปรับปรุง กฏหมาย พระธรรมศาสตร์ ครั้งสำคัญของไทย
ใน พ.ศ. 2347 เกิดมีคดีซึ่งแสดงถึงความคลาดเคลื่อนบกพร่อง ของ กฏหมาย ที่ใช้อยู่ในขณะนั้น คดีดังกล่าวได้แก่คดี อำแดงป้อม ภริยานายบุญศรี ช่างเหล็กหลวง ฟ้องหย่าสามีทั้ง ๆ ที่มีหลักฐานว่า อำแดงป้อมนอกใจสามี เป็นชู้กับนายราชาอรรถ แต่ลูกขุนศาลหลวง ลงความเห็นว่าหญิงฟ้องหย่าชายได้ นายบุญศรีจึงร้องทุกข์ต่อคณะลูกขุน เพื่อความเป็นธรรม คณะลูกขุนได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล ขอพระราชทานความเห็นต่อ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดให้ตรวจทานกฏหมายที่มีอยู่ทั้งหมด ปรากฏว่ามีข้อความตรงกันที่ยอมให้หญิงฟ้องหย่าได้แม้สามีไม่มีความผิด
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงวินิจฉัยว่า พระมหากษัตริย์องค์ก่อน ๆ นั้น จะทรงบัญญัติกฏหมาย ที่ขาดความยุติธรรมเช่นนั้น จึงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะกรรมการชำระกฏหมายขึ้นประกอบด้วย อาลักษณ์ 4 คน ลูกขุน 3 คน และราชบัณฑิตอีก 2 คน โปรดให้ชำระ พระราชกำหนด บทพระอัยการ ที่มีอยู่ในหอหลวง ตั้งแต่ พระธรรมศาสตร์ ไปให้ถูกต้องตามบาลีและเนื้อความ มิให้ผิดเพี้ยนซ้ำกัน ได้จัดเป็นหมวดเป็นเหล่า และทรงพระอุตสาหะ ชำระดัดแปลง ซึ่งบทอันประหลาดนั้น ให้ชอบโดยยุติธรรมได้ ด้วยทรงพระมหากรุณา อันจะให้ประดยชน์แก่กษัตริย์อันจะอำรงแผ่นดิน ในภาคหน้า กฏหมายที่ชำระไว้แล้วนี้ ทุกเล่มได้โปรดให้ประทับ ตราราชสีห์ ตราคชสีห์ และ ตราบัวแก้ว อันเป็น ตราประจำตำแหน่งสมุหนายก ตำแหน่งสมุหพระกลาโหม และ ตำแหน่งโกษาธิบดี เรียกกันทั่วไปว่า กฏหมายตราสามดวง ใช้มาตั้งแต่รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ จนถึง รัชกาลที่ 5 พระธรรมศาสตร์ จึงได้ถูกรวบรวามไว้ ใน กฏหมายตราสามดวง ตั้งแต่นั้น และใช้ชื่อว่า กฏหมายตราสามดวง กันโดยทั่วไป มิได้เรียก พระธรรมศาสตร์ อีกต่อไป
พระธรรมศาสตร์
ใน พ.ศ. 2347 เกิดมีคดีซึ่งแสดงถึงความคลาดเคลื่อนบกพร่อง ของ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงวินิจฉัยว่า
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (4)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (3)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (2)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (1)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (3)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (2)
ธรรมศาสตร์มอญ เค้ากฎหมายไทย (1)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น