มอญ : ต้นตออารยธรรมอุษาคเนย์
ศูนย์พม่าศึกษา มอญ : ชนชาติเจ้าของอารยธรรมอันเก่าแก่ ในแผ่นดินพม่า มอญ เป็นชนชาติที่พูดภาษาในตระกูล มอญ -เขมร เมื่อเอ่ยถึงชนชาติ “มอญ” ในประเทศพม่า พม่าจะถือว่า มอญ เป็นชนชาติเก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินเมียนมา
มอญ เป็นชนชาติที่พูดภาษาในตระกูล มอญ -เขมร เมื่อเอ่ยถึงชนชาติ “มอญ” ในประเทศพม่า พม่าจะถือว่า มอญ เป็นชนชาติเก่าแก่ที่สุดในแผ่นดินเมียนมา และแม้ว่า ภาษามอญ นั้นจะแตกต่างกับภาษาพม่าโดยสิ้นเชิงก็ตาม (พม่าพูดภาษาในตระกูลจีน-ทิเบต) แต่พม่ากลับเห็นว่า ชนชาติมอญ สืบเชื้อสายมาจาก มองโกลอยด์ เช่นเดียวกับ ชนชาติพม่า อีกทั้งรูปร่างหน้าตาของชาว มอญ กับชาวพม่าแทบจะแยกกันไม่ออก ด้วยชาว มอญ กับชาวพม่าได้อยู่ร่วมผสมสายเลือดกันมานับแต่ยุคพุกาม จนปัจจุบันแยกไม่ออกได้ง่ายว่า ใครเป็น มอญ หรือ ใครเป็นพม่า ดังนั้น พม่าจึงสรุปว่าชาว มอญ กับชาวพม่าต่างย่อมมีความใกล้ชิดสนิทสนม ด้วยพม่า- มอญ นั้นสืบเชื้อสายและร่วมประวัติศาสตร์กันมายาวนาน
ในทางวิชาการ เคยมีข้อสรุปไว้ว่าชนชาติแรกที่เคยปรากฏอยู่ ในประเทศพม่าคือชนเผ่ากัปปะลี หรือ นิกริโต จากนั้นในราว ๔ พันปีก่อน จึงมี ชนชาติมอญ อพยพลงมา อาศัยเป็นหลักแหล่งในรูปแบบสังคมกสิกรรม และเรียกแผ่นดินแรกของ มอญ นี้ว่า รามัญเทสะ ส่วนชนเผ่ากัปปะลีนั้น ก็เคลื่อนย้ายไปอาศัยอยู่ตามเกาะภีลู หรือ บะลูและเกาะกัปปะลี และเชื่อว่าชนเผ่านี้น่าจะเป็นบรรพบุรุษของชนเผ่าซมีง หรือ เซมังในปัจจุบัน เกาะบะลูนั้นเป็นเกาะใหญ่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับเมืองเมาะลำไย ชาว มอญ เรียกว่า ตะเก๊าะขมาย คำว่า ตะเก๊าะ แปลว่า “เกาะ” ส่วนคำว่า ขมาย นั้นสันนิษฐานตามตำนานพื้นเมืองว่าอาจจะเป็นที่มาของชื่อเผ่าซมีง (ตามตำนานขมายเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีอมนุษย์เกิดจากนกเหยี่ยวคู่หนึ่ง ที่อาศัยอยู่บนต้นขมายนั้น) และเชื่อว่าชนเผ่านี้ก็คงจะเคยอาศัยบนเกาะบะลูมาก่อน โดยอยู่อย่างคนเปลือย แต่ด้วยหน้าตาน่ากลัว มีริมฝีปากหนา ผมหยิก ผิวดำ มีนิสัยกระด้าง แถมว่ายน้ำเก่ง จึงถูกมองว่าเป็นพวกยักษ์ แล้วเรียกเกาะที่พวกนี้อาศัยอยู่ว่า เกาะยักขะ ซึ่งสอดคล้องกับการที่พม่า ก็เรียกเกาะนี้ว่า เกาะบะลู เพราะ บะลู ก็แปลว่า “ยักษ์” เช่นกัน
ในทางภาษาศาสตร์ เคยมีการวิจัยพบว่าภาษาชาวซมีง มีคำศัพท์ร่วมกับคำศัพท์ของ ภาษามอญโบราณ จึงพอจะบอกได้ว่าชาว มอญ เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด กับชาวซมีงมาก่อน นอกจากนี้ใน พงศาวดารมอญ ก็กล่าวไว้ว่าเมื่อปี ๒๕๐ ก่อนคริสต์ศักราช พระโสณะเถระ และพระอุตตระเถระ ได้เดินทางมาประกาศพระศาสนา ณ ดินแดนสะเทิม-สุวรรณภูมิ แล้วสวดพระปริตรเพื่อขับไล่เหล่ายักษ์น้ำ หรือผีเสื้อสมุทรมิให้มาเป็นอันตรายแก่ชาวมอญ จึงสันนิษฐานว่าพวกยักษ์ ในตำนาน ภาษามอญ นั้นน่าจะหมายถึงชน เผ่าซมีง นั่นเอง
ส่วนชาว มอญ จะมาจากไหนนั้น ยังคงตอบให้ชัดได้ยาก บ้างก็มีความเห็นว่าน่าจะอพยพมาจากมองโกเลีย บ้างเชื่อว่า มอญ มีถิ่นกำเนิดจาก ที่ราบโตนกีงทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน และก่อนที่ มอญ จะมาอาศัยอยู่ที่เมืองสะเทิมในประเทศพม่านั้น ก็เคยตั้งอาณาจักรทวารวดี ในพื้นที่ตอนล่างของประเทศไทย ดังปรากฏเป็นหลักฐานเป็น จารึกมอญ ที่นครปฐม หรือ ประปโทม และที่ลพบุรี จารึกนั้นเก่าแก่กว่า จารึกภาษามอญ ที่ สะเทิม และ พุกาม ถึงราว ๕๐๐ ปี ต่อมา ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ อาณาจักรทวารวดีของ มอญ ก็ถูกพวกเขมรหรือขมาโจมตีจนต้องย้ายขึ้นเหนือไปตั้งเมืองหริภุญไชย ซึ่งปัจจุบันคือลำพูน จากนั้นในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๒–๑๓ ชาวไทยก็อพยพจากตอนบนลงมาตีอีก ทวารวดีจึงถึงกาลล่มสลาย
ส่วนนาม รามัญ พบเก่าสุดในมหาวังสะของสิงหล ในสมัยพระเจ้าจันสิตตาแห่งพุกาม พบคำนี้ใน ศิลาจารึกมอญ เขียนออกเสียงว่า รมีง ซึ่งในจารึกนั้น ก็พบคำเรียกพม่าอ่านว่า มิรมา อีกด้วย ส่วนในสมัยหงสาวดี พบจารึกแผ่นทอง เขียนอ่านว่า รมัน คล้ายกับที่ไทยเรียก รามัญ ส่วนในเขตรามัญเทสะ จะเรียกว่า มัน หรือ มูน ซึ่งใกล้กับคำว่า มอญ ในภาษาไทย
อันที่จริง พม่าเคยนิยมเรียก มอญ ว่า ตะลาย หรือ ตะเลง คำเรียกนี้ พบในศิลาจารึกพุกาม และบางจารึกที่น่าจะจารึกในต้นสมัยอังวะ อีกทั้งใน พงศาวดารมอญ กล่าวถึงเจ้าชายจากเมืองกาลิงคะ ติลิงคนะแห่งมัชฌิมเทสะเสด็จมายังสะเทิม-สุวรรณภูมิเพื่อปกครองชาว มอญ โดยมีท้าวสักกะอุปถัมภ์ เป็นไปได้ว่าชาวติลิงคนะคงจะเดินทาง มาสู่รามัญเทสะอยู่เรื่อยๆ จึงเรียกเหมาชาว มอญ ว่า เป็นชาวติลิงคนะไปด้วย จนที่สุดก็เพี้ยนมาเป็น ตะลายในภายหลัง แต่เนื่องจากคำว่า ตะลาย นั้น ชาว มอญ เห็นว่าเป็นคำดูหมิ่น มีความหมายไปในทาง “พันธุ์ทางไร้พ่อ” ชาว มอญ จึงไม่อยากให้ใช้ชื่อนี้มาเรียกชาว มอญ อีกต่อไป ซึ่งรัฐบาลพม่า ก็ได้เคยประกาศห้ามใช้ชื่อ ตะลาย เรียกชาว มอญ และกำหนดให้เรียกว่า มูน หรือ มอญ เท่านั้น
เรื่องราวของ มอญ ยังมีกล่าวในศิลาจารึกเจดีย์ชเวดากองไว้ว่า คราที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้มีพ่อค้าชาว มอญ สองพี่น้อง นามว่า ตผุสสะ ภัลลิกะ ได้รับพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้ามาประดิษฐาน ณ เจดีย์ชเวดากอง พอราวปี ๒๕๐ ก่อนคริสต์ศักราช พระเจ้าอโศกได้ส่ง พระโสณะเถระและพระอุตตรเถระ มาเผยแผ่พระศาสนาในหมู่ชาว มอญ ณ ดินแดนสุวรรณภูมิ ต่อมาคริสต์ศตวรรษที่ ๔ พระพุทธโฆสะได้เดินทางไปยังเกาะสิงหล เพื่อคัดลอกพระไตรปิฎกเป็น อักษรมอญ ซึ่งหากศึกษารูป อักษรมอญ โบราณ ก็จะพอจะเชื่อได้ว่า อักษรมอญ นั้นมีเค้ามาจากอักษรอินเดียตอนใต้ คือ อักษรปัลลวะและอักษรกทัมพะ
ในประเทศไทย เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๕-๖ ปรากฏ ศิลาจารึกมอญ ที่นครปฐม ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ ๗-๘ ม ีจารึกมอญ ที่ลพบุรี และในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑–๑๓ มี จารึกมอญ ที่ ลำพูน ส่วนในประเทศพม่านั้น พบ ศิลาจารึกมอญ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ ณ ถ้ำเก๊าะกูม ใกล้เมือง บาอัง ใน รัฐกะเหรี่ยง และพบที่เจดีย์ชเวซายังในเมืองสะเทิม ส่วนศิลาจารึกมอญที่เมืองพุกาม ซึ่งพบมากที่สุดนั้นจารึกขึ้น ในคริสต์ศตวรรษที่ ๑๑ นอกจากนี้ยังพบ ศิลาจารึกมอญ ประปราย ตามเมืองต่างๆ อาทิ เจาก์แซ แปร พะโค ชเวนั่งต่าตะวันออก และสะเทิม ส่วนในยุคหงสาวดีนั้น พบ ศิลาจารึกมอญ และจารึกบนองค์ระฆังที่ พะสิม ย่างกุ้ง พะโค พุกาม สะเทิม ดอยเกลาสะ เมาะตะมะ ไจก์มะยอ และทวาย
ด้านจารึก ภาษามอญ บนใบลานนั้น พบมากมายตาม หมู่บ้านมอญ ในประไทย ส่วนที่ประเทศพม่าพบมากตาม หมู่บ้านมอญ ในเมืองสะเทิมและเมืองไจก์ขมี ซึ่งมีการคัดลอกและรวบรวมนำมาเก็บไว้ ที่หอสมุดแห่งชาติเมืองย่างกุ้ง และที่ ห้องสมุดมอญ เมือง เมาะลำไย นอกจากนี้กองโบราณคดีและกองวัฒนธรรม ยังได้จัดพิมพ์วรรณกรรม ชาดก ตำรามอญ และเคยมีการริเริ่มจัดพิมพ์พจนานุกรมมอญ-พม่าอีกด้วย
ในด้านตัวอักษรนั้น อักษรมอญ ถือเป็นต้นแบบให้กับอักษรพม่า ตามที่พบเป็นหลักฐานจากศิลาจารึกมยะเซดี และจากการที่พระชินอรหันต์ ภิกษุมอญ ได้นำพุทธศาสนานิกายเถรวาทมาเผยแผ่ ยังเมืองพุกามในสมัยพระเจ้าอโนรธานั้น จึงได้พบจารึกภาษาบาลีด้วย อักษรมอญ บนด้านหลังพระพิมพ์อีกด้วย ที่จริงในยุคนั้นก็มีอักษรพยูหรือปยูใช้เช่นกัน แต่ชาวพม่ากลับนิยม อักษรมอญ มากกว่า โดยเฉพาะตลอดสมัยของพระเจ้าจันสิตตา วรรณคดีสมัยนั้นต่างเขียนด้วย ภาษามอญ ก็ด้วยที่พระองค์มีพระอาจารย์เป็น ภิกษุมอญ นั่นเอง นอกจากนี้ยังพบ จารึกมอญ บนแผ่นกระเบื้องเคลือบมากมายกว่า พันชิ้นที่เจดีย์อนันดา อีกทั้งพบจารึกมอญตามเจดีย์ ในเมืองพุกามหลายแห่ง อาทิ มยีง-ปยะ อะแปรัตนา ผยะซะชเว โลกะเทะปัน ปะโทตา-มยา นคาโยง คู-ปเย่าจี และอโล-ปยิ
ในสมัยจันสิตตานั้น ไม่พบจารึกภาษาพม่าเลย จนในปี ค.ศ. ๑๑๑๒ ราชบุตรของพระองค์ นามว่า ราชกุมาร ได้ทำจารึกมยะเซดีเป็นภาษาพม่า แล้ววรรณคดีภาษาพม่า ก็ค่อยๆรุ่งเรืองเรื่อยมา จนในสมัยพระเจ้านรปติ ภาษามอญ ก็เสื่อมความนิยม จนถึงสมัยหงสาวดี วรรณคดีมอญกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยเฉพาะในสมัยของพระนางชินซอปุ และพระเจ้าธรรมเซดี แต่ในที่สุด วรรณคดีมอญ ก็มีอันต้องเสื่อมลงอีก หลังจากที่ มอญ พ่ายแพ้ต่อพม่า ในยุคของพระเจ้าอลองพญา
ในด้านประวัติศาสตร์การสร้างอาณาจักรของ ชนชาติมอญ นั้น อาจจำแนกตามวงศ์กษัตริย์ได้ ๓ ยุค ยุคแรกคือยุคราชวงศ์สะเทิม-สุธรรมวดี มีกษัตริย์ปกครอง ๕๗ พระองค์ เริ่มจากสมัยพระเจ้าสีหราชา มาจนถึงสมัยพระเจ้ามนูหา เชื่อว่ายุคนี้ครอบครองพื้นที่ได้ ทั้งอาณาจักรทวารวดีและอาณาจักรสะเทิม ยุคแรกสิ้นสุดลงด้วยพระเจ้าอโนรธาแห่งพุกาม ยกทัพมาตีเมืองสะเทิมในสมัยพระเจ้ามนูหา ซึ่งนักประวัติศาสตร์ไทยบางท่านเชื่อว่าพระเจ้าอโนรธาน่าจะยกมาตีถึงนครปฐม
ยุคที่สอง เป็นยุคราชวงศ์พะโค-หงสาวดี มีกษัตริย์ปกครอง ๑๗ พระองค์ องค์แรกๆคือ พระเจ้าสมละและพระเจ้าวิมละ และสิ้นสุดในสมัยพระเจ้าติสสะ ส่วนยุคที่ ๓ คือยุคราชวงศ์เมาะตะมะ-พะโค เริ่มจากสมัยพระเจ้าวารีรู หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของกษัตริย์ไทย ต่อมาในสมัยพญาอู ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือหงสาวดี ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือพระเจ้าราชาธิราช ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าในสมัยพระเจ้าซวาส่อแก กับพระเจ้ามีงคอง ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ สมิงพระราม ละกูนเอง และแอมูน-ทยา กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพยะมองธิราช ซึ่งพระเจ้าอลองพยาปราบ มอญ จนพ่ายในปี ค.ศ. ๑๗๕๗
พม่ามองว่าชาว มอญ และชาวพม่านั้น มีความสัมพันธ์กันมานานนับแต่ สมัยพุกามเรื่อยมา จึงมีความเกี่ยวดองมาตลอด และแม้ว่า มอญ กับพม่าจะพูดต่างภาษากันก็ตาม แต่ต่างก็มีเชื้อสายมองโกลอยด์เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ชาว มอญ รุ่นหลังหันมาใช้ภาษาพม่ากันมาก และมีจำนวนมากที่เลิกใช้ ภาษามอญ จนคิดว่าตนเป็นพม่า อีกทั้งไม่ทราบว่า ตนมี เชื้อสายมอญ จากการสำรวจประชากรมอญในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ พบว่ามีจำนวนแค่ ๓ แสน ๕ หมื่นคน ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ ได้มีการก่อตั้ง สมาคมชาวมอญ และมีการ สำรวจ ประชากรมอญ อีกครั้ง พบว่ามีราว ๖ แสนกว่าคน พอต้นสมัยสังคมนิยมสำรวจได้ว่ามีชาว มอญ ราว ๑ ล้านกว่า ในปัจจุบัน หากต้องการพบชาว มอญ ที่ยังพูด ภาษามอญในชีวิตประจำวันอยู่ ก็ต้องไปเยือนหมู่บ้านต่างๆในเมือง ไจก์ขมี และ เมืองสะเทิม กระนั้นในเขตเมือง ก็จะพบแต่ชาว มอญ ที่พูดภาษาพม่าเป็นส่วนมาก
ในทางวิชาการ เคยมีข้อสรุปไว้ว่าชนชาติแรกที่เคยปรากฏอยู่ ในประเทศพม่าคือชนเผ่ากัปปะลี หรือ นิกริโต จากนั้นในราว ๔ พันปีก่อน จึงมี
ในทางภาษาศาสตร์ เคยมีการวิจัยพบว่าภาษาชาวซมีง มีคำศัพท์ร่วมกับคำศัพท์ของ
ส่วนชาว
ส่วนนาม รามัญ พบเก่าสุดในมหาวังสะของสิงหล ในสมัยพระเจ้าจันสิตตาแห่งพุกาม พบคำนี้ใน
อันที่จริง พม่าเคยนิยมเรียก มอญ ว่า ตะลาย หรือ ตะเลง คำเรียกนี้ พบในศิลาจารึกพุกาม และบางจารึกที่น่าจะจารึกในต้นสมัยอังวะ อีกทั้งใน
เรื่องราวของ
ในประเทศไทย เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ ๕-๖ ปรากฏ
ด้านจารึก
ในด้านตัวอักษรนั้น อักษรมอญ ถือเป็นต้นแบบให้กับอักษรพม่า ตามที่พบเป็นหลักฐานจากศิลาจารึกมยะเซดี และจากการที่พระชินอรหันต์
ในสมัยจันสิตตานั้น ไม่พบจารึกภาษาพม่าเลย จนในปี ค.ศ. ๑๑๑๒ ราชบุตรของพระองค์ นามว่า ราชกุมาร ได้ทำจารึกมยะเซดีเป็นภาษาพม่า แล้ววรรณคดีภาษาพม่า ก็ค่อยๆรุ่งเรืองเรื่อยมา จนในสมัยพระเจ้านรปติ ภาษามอญ ก็เสื่อมความนิยม จนถึงสมัยหงสาวดี วรรณคดีมอญกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง โดยเฉพาะในสมัยของพระนางชินซอปุ และพระเจ้าธรรมเซดี แต่ในที่สุด
ในด้านประวัติศาสตร์การสร้างอาณาจักรของ
ยุคที่สอง เป็นยุคราชวงศ์พะโค-หงสาวดี มีกษัตริย์ปกครอง ๑๗ พระองค์ องค์แรกๆคือ พระเจ้าสมละและพระเจ้าวิมละ และสิ้นสุดในสมัยพระเจ้าติสสะ ส่วนยุคที่ ๓ คือยุคราชวงศ์เมาะตะมะ-พะโค เริ่มจากสมัยพระเจ้าวารีรู หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว พระองค์มีมเหสีเป็นราชธิดาของกษัตริย์ไทย ต่อมาในสมัยพญาอู ได้ย้ายราชธานีมาอยู่ ณ เมืองพะโคหรือหงสาวดี ราชบุตรของพระองค์คือพญาน้อย ซึ่งต่อมาก็คือพระเจ้าราชาธิราช ผู้ทำสงครามยาวนานกับกษัตริย์พม่าในสมัยพระเจ้าซวาส่อแก กับพระเจ้ามีงคอง ขุนพลสำคัญของพระเจ้าราชาธิราช ก็คือ สมิงพระราม ละกูนเอง และแอมูน-ทยา กษัตริย์องค์สุดท้ายของมอญคือ พระเจ้าพยะมองธิราช ซึ่งพระเจ้าอลองพยาปราบ
พม่ามองว่าชาว
วิรัช นิยมธรรม
เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ ๑๐ , ๑๙๖๖
เรียบเรียงจากข้อเขียนของนายปันหละ พิมพ์ในสารานุกรมพม่า ฉบับที่ ๑๐ , ๑๙๖๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น