องค์ บรรจุน
พระองค์เจ้าชายอรุณวงศ์ ต้นสกุล อรุณวงศ์ ณ อยุธยา บุตรเจ้าจอมมารดาเอม
ชนชาติมอญ ในอดีตนั้น มีภูมิฐานบ้านเมือง อยู่ ทางตอนใต้ ของประเทศพม่าปัจจุบัน มอญ นั้น มีประวัติศาสตร์มายาวนาน สร้างสม อารยธรรม ไว้อย่างมากมาย ในแถบภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ สุวรรณภูมิ คือ เป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิม ก่อนที่พวก พม่า ซึ่งเป็น ชนชาติ ตระกูล มองโกล-ธิเบต จะอพยพลงมา ตั้งอาณาจักรอยู่ เหนือดินแดน มอญ ขึ้นไปตอนบน ทว่าอยู่ใน ชัยภูมิ ที่แห้งแล้ง ห่างไกลทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และเมืองท่าค้าขาย พม่า จึงเข้ารุกราน เมืองมอญ เพื่อเปิดทางออกสู่ทะเล ทั้งกวาดต้อน นักปราชญ์ ราชบัณฑิต รับเอาพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมประเพณี แม้แต่ตัว อักษร ของ มอญ สู่ อาณาจักรพม่า บางครั้ง พม่าพยายามกลืน ชาติมอญ โดยมักกล่าวว่า มอญ และ พม่า คือ ชาติเดียวกัน แต่เพราะทั้งสองชนชาติ มีความแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ ลักษณะทางกายภาพ ภาษาพูด ตลอดจน นิสัยใจคอ โดยเนื้อแท้นั้น พม่า มีจิตใจที่ แข็งกร้าวดุดัน มาแต่เดิม แตกต่างจากพวก มอญ ที่มีความอ่อนโยน และประณีประนอม มอญ จึงยังคงเป็น มอญ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
มอญ และ พม่า ต่างทำ สงคราม ผลัดกันแพ้ชนะ มาโดยตลอด แม้ส่วนใหญ่ มอญ จะอยู่ใต้อำนาจ พม่า แต่หาก พม่า หย่อนอำนาจลงเมื่อใด มอญ ก็กลับตั้งตัวเป็นอิสระ พม่า กลับมีกำลังเมื่อใด ก็ต้องปราบปรามอีก ถ้า มอญ มีกำลังพอต่อสู้พม่าได้ มอญ ก็ตั้งอยู่เป็นอิสระ ถ้าทานกำลัง พม่า ไม่ได้หรือ เป็นเวลาที่ไทย มีอำนาจมาก มอญ ก็หันมาพึ่งไทย เป็นดังนี้ มาแต่ครั้ง พ่อขุนรามคำแหง ครองกรุง สุโขทัย ตลอดมา จนครั้ง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครอง กรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตุที่ มอญ ไม่มีความนิยมต่อ พม่า คอยหาโอกาสที่จะตั้งตนเป็นอิสระอยู่เสมอ เมื่อ พระเจ้าอลองพญา ทำสงครามชนะ มอญ ได้เป็นใหญ่ ในแผ่นดิน พม่า จึงมีความขัดเคือง คิดจะทำลายล้างพวก มอญ ให้สิ้น เผ่าพันธุ์ เมื่อ มอญ ถูก พม่า กดขี่ข่มเหงต่างๆ และไม่มีกำลังพอจะต่อสู้ พม่า ได้ จึงอพยพหนีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ดังพวก พระยาเจ่ง ซึ่งอพยพเข้ามา สมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๗ เป็นต้น
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) ก็มีมูลเหตุ ในการอพยพเข้ามาอยู่ ในเมืองไทย ด้วยเหตุผลเดียวกัน กับชาว มอญ อื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดย พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) ท่านนี้ สืบตระกูล มาจาก สกุลอำมาตย์ รามัญ ไม่ทราบชื่อ และ สกุลภรรยา ต่อมามีบุตร ๑ คน ไม่ปรากฏชื่อ และบรรดาศักดิ์ ชัดเจนแน่นอน กล่าวกันไว้แต่ว่า “พระยาจักราเพชร(หงส์ทอง)” และว่ามี บรรดาศักดิ์ เป็น “พระยาจักรา” ชื่อตัวว่า “เพชรหงส์ทอง” แต่พิจารณาดูแล้ว เห็นว่า ยาวเกินสมควรของชื่อคน ในสมัยก่อน น่าจะเป็นเพียง “ทอง” หรืออย่างมาก “ทองมอญ” ด้วยความที่เป็น มอญ จึงคงได้ฉายาว่า “ทองมอญ” แท้ที่จริงน่าจะชื่อว่า “ทอง” คำเดียวประกอบกับเจ้าตัว หรือเชื้อสายของตัวเอง มาจากเมือง หงสาวดี จึงเกิดคำว่า “หงส์” เป็นฉายา ซึ่งหมายถึง มอญ เช่นฉายาว่า มอญ ท้ายชื่อทอง ของ ท้าวทรงกันดาล(ทองมอญ) นั้นก็เป็นได้ แต่คำว่า เพชรข้างหน้านั้น ไม่ทราบที่มาแน่ชัด หรือ อาจเรียกปะปน กับบรรดาศักดิ์เดิมว่า “สมิงดาบเพชร” ก่อนได้เลื่อน บรรดาศักดิ์ เป็น พระยารัตนจักร ก็เป็นได้ ส่วนชื่อ พระยาจักรา ก็ดูห้วนมากเกินไป อาศัยหลักที่ว่าเป็น มอญ ๑ และเป็น เจ้ากรมกองมอญอาสา ที่ตรงกันนั้น จึงสันนิษฐานว่า ที่ถูกต้องควรเป็น “พระยารัตนจักร” เจ้ากรมอาทมาตมอญ หนึ่งในกองมอญอาสา ๖ เหล่า และหากเป็นไปตามนี้แล้ว คาดว่า ตำแหน่งเดิมของ พระยารัตนจักร นั้นน่าจะเรียกว่า “พระยาเพชรจักร” หรือ “จักรเพชร” เพราะ “เพชร” และ “รัตน” เป็นคำเดียวกัน
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) สกุลอำมาตย์รามัญนั้น ท่านมีภรรยาหลายคน คนหนึ่งไม่ทราบชื่อ เป็นสกุลชาวสวนบางเขน มีธิดา ๔ คน หนึ่งในนั้นชื่อ “ม่วง” ซึ่งไม่ทราบชื่อสามี และจำนวนบุตรธิดาทั้งหมด แต่ทราบเพียง ๑ คนเป็นหญิงชื่อ “แจ่ม” ผู้เป็นชนนี ของ สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระมเหสี ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) นั้นมีบุตรธิดามากมาย กับภรรยาหลายคน และมีธิดาอยู่ ๓ คนที่ขึ้นชื่อว่า รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม จนได้เป็น เจ้าจอมมารดา ถึง ๒ ท่าน เป็นเจ้าจอม ๑ ท่าน ใน ๒ รัชกาล คือ
๑. เจ้าจอมมารดาป้อม
เป็นธิดา พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) เกิดจากภรรยา สกุลชาวสวนบางเขน เป็นน้องสาว ของ ท่านม่วง ได้เป็น เจ้าจอมมารดา ในรัชกาลที่ ๑ เป็น เจ้าจอมมารดา ที่งดงามมากคนหนึ่ง คาดว่า ได้แสดงละครเป็นตัว “สีดา” ผู้คนจึงพากันเรียกว่า ป้อมสีดา มีพระองค์เจ้า ๑ พระองค์คือ พระองค์เจ้าเรไร ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๘ สิ้นพระชนม์ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงไม่มีสายสืบสกุลต่อมา
๒. เจ้าจอมเพ็ง
เป็นธิดา พระยารัตนจักร (หงส์ทอง) เกิดจากภรรยาคนที่ ๕ ไม่ทราบชื่อและสกุลภรรยา ได้เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๒ เนื่องจาก มีรูปร่างหน้าตางดงาม จึงได้เป็นเจ้าจอมละคร แสดงเป็นตัว “บาหยัน” ซึ่งเจ้าจอมเพ็ง ผู้นี้ ไม่มีบุตรธิดา จึงขาดสายสกุลสืบต่อมา
๓. เจ้าจอมมารดาเอม
เป็นธิดาพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) เกิดจากภรรยาคนที่ ๖ ไม่ทราบชื่อ และสกุลภรรยา ด้วยรูปร่างหน้าตา ที่หมดจดงดงาม จึงเป็น เจ้าจอมละคร ในรัชกาลที่ ๒ แสดงเป็นตัว “บุษบา” ต่อมาได้เป็น เจ้าจอมมารดา เพราะให้กำเนิด พระองค์เจ้า คือ พระองค์เจ้าชายอรุณวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๕๕ ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็น กรมหมื่นวรศักดาพิศาล ได้ว่า การกรมกองแก้วจินดา แลกรมช่างหล่อ ในรัชกาลที่ ๕ เลื่อนเป็น กรมหลวงศักดาพิศาลสุพัฒนาการสวัสดิ์ สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๑ เป็นต้นสกุล “อรุณวงศ์ ณ อยุธยา”
พระยารัตนจักร (หงส์ทอง)
องค์ บรรจุน
พระองค์เจ้าชายอรุณวงศ์ ต้นสกุล อรุณวงศ์ ณ อยุธยา บุตรเจ้าจอมมารดาเอม
ชนชาติมอญ ในอดีตนั้น มีภูมิฐานบ้านเมือง อยู่ ทางตอนใต้ ของประเทศพม่าปัจจุบัน มอญ นั้น มีประวัติศาสตร์มายาวนาน สร้างสม อารยธรรม ไว้อย่างมากมาย ในแถบภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ สุวรรณภูมิ คือ เป็นเจ้าของพื้นที่ดั้งเดิม ก่อนที่พวก พม่า ซึ่งเป็น ชนชาติ ตระกูล มองโกล-ธิเบต จะอพยพลงมา ตั้งอาณาจักรอยู่ เหนือดินแดน มอญ ขึ้นไปตอนบน ทว่าอยู่ใน ชัยภูมิ ที่แห้งแล้ง ห่างไกลทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหาร และเมืองท่าค้าขาย พม่า จึงเข้ารุกราน เมืองมอญ เพื่อเปิดทางออกสู่ทะเล ทั้งกวาดต้อน นักปราชญ์ ราชบัณฑิต รับเอาพุทธศาสนา ศิลปวัฒนธรรมประเพณี แม้แต่ตัว อักษร ของ มอญ สู่ อาณาจักรพม่า บางครั้ง พม่าพยายามกลืน ชาติมอญ โดยมักกล่าวว่า มอญ และ พม่า คือ ชาติเดียวกัน แต่เพราะทั้งสองชนชาติ มีความแตกต่างกัน โดยสิ้นเชิง ตั้งแต่ ลักษณะทางกายภาพ ภาษาพูด ตลอดจน นิสัยใจคอ โดยเนื้อแท้นั้น พม่า มีจิตใจที่ แข็งกร้าวดุดัน มาแต่เดิม แตกต่างจากพวก มอญ ที่มีความอ่อนโยน และประณีประนอม มอญ จึงยังคงเป็น มอญ มาจนกระทั่งทุกวันนี้
มอญ และ พม่า ต่างทำ สงคราม ผลัดกันแพ้ชนะ มาโดยตลอด แม้ส่วนใหญ่ มอญ จะอยู่ใต้อำนาจ พม่า แต่หาก พม่า หย่อนอำนาจลงเมื่อใด มอญ ก็กลับตั้งตัวเป็นอิสระ พม่า กลับมีกำลังเมื่อใด ก็ต้องปราบปรามอีก ถ้า มอญ มีกำลังพอต่อสู้พม่าได้ มอญ ก็ตั้งอยู่เป็นอิสระ ถ้าทานกำลัง พม่า ไม่ได้หรือ เป็นเวลาที่ไทย มีอำนาจมาก มอญ ก็หันมาพึ่งไทย เป็นดังนี้ มาแต่ครั้ง พ่อขุนรามคำแหง ครองกรุง สุโขทัย ตลอดมา จนครั้ง สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ครอง กรุงศรีอยุธยา ด้วยเหตุที่ มอญ ไม่มีความนิยมต่อ พม่า คอยหาโอกาสที่จะตั้งตนเป็นอิสระอยู่เสมอ เมื่อ พระเจ้าอลองพญา ทำสงครามชนะ มอญ ได้เป็นใหญ่ ในแผ่นดิน พม่า จึงมีความขัดเคือง คิดจะทำลายล้างพวก มอญ ให้สิ้น เผ่าพันธุ์ เมื่อ มอญ ถูก พม่า กดขี่ข่มเหงต่างๆ และไม่มีกำลังพอจะต่อสู้ พม่า ได้ จึงอพยพหนีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย ดังพวก พระยาเจ่ง ซึ่งอพยพเข้ามา สมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๗ เป็นต้น
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) ก็มีมูลเหตุ ในการอพยพเข้ามาอยู่ ในเมืองไทย ด้วยเหตุผลเดียวกัน กับชาว มอญ อื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น โดย พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) ท่านนี้ สืบตระกูล มาจาก สกุลอำมาตย์ รามัญ ไม่ทราบชื่อ และ สกุลภรรยา ต่อมามีบุตร ๑ คน ไม่ปรากฏชื่อ และบรรดาศักดิ์ ชัดเจนแน่นอน กล่าวกันไว้แต่ว่า “พระยาจักราเพชร(หงส์ทอง)” และว่ามี บรรดาศักดิ์ เป็น “พระยาจักรา” ชื่อตัวว่า “เพชรหงส์ทอง” แต่พิจารณาดูแล้ว เห็นว่า ยาวเกินสมควรของชื่อคน ในสมัยก่อน น่าจะเป็นเพียง “ทอง” หรืออย่างมาก “ทองมอญ” ด้วยความที่เป็น มอญ จึงคงได้ฉายาว่า “ทองมอญ” แท้ที่จริงน่าจะชื่อว่า “ทอง” คำเดียวประกอบกับเจ้าตัว หรือเชื้อสายของตัวเอง มาจากเมือง หงสาวดี จึงเกิดคำว่า “หงส์” เป็นฉายา ซึ่งหมายถึง มอญ เช่นฉายาว่า มอญ ท้ายชื่อทอง ของ ท้าวทรงกันดาล(ทองมอญ) นั้นก็เป็นได้ แต่คำว่า เพชรข้างหน้านั้น ไม่ทราบที่มาแน่ชัด หรือ อาจเรียกปะปน กับบรรดาศักดิ์เดิมว่า “สมิงดาบเพชร” ก่อนได้เลื่อน บรรดาศักดิ์ เป็น พระยารัตนจักร ก็เป็นได้ ส่วนชื่อ พระยาจักรา ก็ดูห้วนมากเกินไป อาศัยหลักที่ว่าเป็น มอญ ๑ และเป็น เจ้ากรมกองมอญอาสา ที่ตรงกันนั้น จึงสันนิษฐานว่า ที่ถูกต้องควรเป็น “พระยารัตนจักร” เจ้ากรมอาทมาตมอญ หนึ่งในกองมอญอาสา ๖ เหล่า และหากเป็นไปตามนี้แล้ว คาดว่า ตำแหน่งเดิมของ พระยารัตนจักร นั้นน่าจะเรียกว่า “พระยาเพชรจักร” หรือ “จักรเพชร” เพราะ “เพชร” และ “รัตน” เป็นคำเดียวกัน
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) สกุลอำมาตย์รามัญนั้น ท่านมีภรรยาหลายคน คนหนึ่งไม่ทราบชื่อ เป็นสกุลชาวสวนบางเขน มีธิดา ๔ คน หนึ่งในนั้นชื่อ “ม่วง” ซึ่งไม่ทราบชื่อสามี และจำนวนบุตรธิดาทั้งหมด แต่ทราบเพียง ๑ คนเป็นหญิงชื่อ “แจ่ม” ผู้เป็นชนนี ของ สมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ พระมเหสี ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔
พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) นั้นมีบุตรธิดามากมาย กับภรรยาหลายคน และมีธิดาอยู่ ๓ คนที่ขึ้นชื่อว่า รูปร่างหน้าตาสวยสดงดงาม จนได้เป็น เจ้าจอมมารดา ถึง ๒ ท่าน เป็นเจ้าจอม ๑ ท่าน ใน ๒ รัชกาล คือ
๑. เจ้าจอมมารดาป้อม
เป็นธิดา พระยารัตนจักร(หงส์ทอง) เกิดจากภรรยา สกุลชาวสวนบางเขน เป็นน้องสาว ของ ท่านม่วง ได้เป็น เจ้าจอมมารดา ในรัชกาลที่ ๑ เป็น เจ้าจอมมารดา ที่งดงามมากคนหนึ่ง คาดว่า ได้แสดงละครเป็นตัว “สีดา” ผู้คนจึงพากันเรียกว่า ป้อมสีดา มีพระองค์เจ้า ๑ พระองค์คือ พระองค์เจ้าเรไร ประสูติเมื่อ พ.ศ.๒๓๓๘ สิ้นพระชนม์ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ จึงไม่มีสายสืบสกุลต่อมา
๒. เจ้าจอมเพ็ง
เป็นธิดา พระยารัตนจักร (หงส์ทอง) เกิดจากภรรยาคนที่ ๕ ไม่ทราบชื่อและสกุลภรรยา ได้เป็นเจ้าจอมในรัชกาลที่ ๒ เนื่องจาก มีรูปร่างหน้าตางดงาม จึงได้เป็นเจ้าจอมละคร แสดงเป็นตัว “บาหยัน” ซึ่งเจ้าจอมเพ็ง ผู้นี้ ไม่มีบุตรธิดา จึงขาดสายสกุลสืบต่อมา
๓. เจ้าจอมมารดาเอม
เป็นธิดาพระยารัตนจักร (หงส์ทอง) เกิดจากภรรยาคนที่ ๖ ไม่ทราบชื่อ และสกุลภรรยา ด้วยรูปร่างหน้าตา ที่หมดจดงดงาม จึงเป็น เจ้าจอมละคร ในรัชกาลที่ ๒ แสดงเป็นตัว “บุษบา” ต่อมาได้เป็น เจ้าจอมมารดา เพราะให้กำเนิด พระองค์เจ้า คือ พระองค์เจ้าชายอรุณวงศ์ ประสูติเมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๕๕ ต่อมา ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงสถาปนาเป็น กรมหมื่นวรศักดาพิศาล ได้ว่า การกรมกองแก้วจินดา แลกรมช่างหล่อ ในรัชกาลที่ ๕ เลื่อนเป็น กรมหลวงศักดาพิศาลสุพัฒนาการสวัสดิ์ สิ้นพระชนม์ ในรัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๑ เป็นต้นสกุล “อรุณวงศ์ ณ อยุธยา”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น