
หลวงพ่ออุตตมะ
พระราชอุดมมงคล หรือ “พระมหาอุตตมะรัมโภภิกขุ” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในนามของ “หลวงพ่ออุตตมะ” พระเกจิอาจารย์ชื่อดังของจังหวัด กาญจนบุรี ทั้งยังเป็นพระภิกษุสงฆ์ชาว มอญ ผู้มีบทบาทผู้นำคนสำคัญของชาว มอญ พลัดถิ่นที่ สังขละบุรี
ประวัติ หลวงพ่ออุตตมะ หลวงพ่ออุตตมะ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 4 ปีจอ จุลศักราช 1272 (พ.ศ. 2453) ที่ หมู่บ้าน โมกกะเนียง ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัดมะละแหม่ง เป็นบุตรของ นายโง และ นางทองสุข อาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 12 คน เนื่องจากเป็น ทารก เพศชาย เกิด ในวันอาทิตย์ จึงมีชื่อว่า “เอหม่อง”
ปี พ.ศ. 2462 ขณะเด็กชาย เอหม่อง มีอายุได้ 9 ขวบ เกิด อหิวาตกโรค ระบาดขึ้นในหมู่บ้าน บิดามารดาจึงพาเด็กชาย เอหม่อง ไปฝากกับพระอาจารย์ นันสาโร แห่ง วัดโมกกะเนียง ผู้เป็นลุง เพื่อให้ปรนนิบัติรับใช้ และ ศึกษาพระธรรม เป็นเครื่องคุ้มครองจากโรคภัย เด็กชาย เอหม่อง เป็นผู้ใฝ่ใจใน การศึกษา อย่างยิ่ง จนสามารถสอบได้ชนะ เด็ก ในวัยเดียวกัน เป็น ประจำ ทุก ๆ ปี
ปี พ.ศ. 2467 เด็กชาย เอหม่อง อายุได้ 14 ปี เกิดอหิวาตกโรคระบาดครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ส่งผลให้ต้องสูญเสียน้องชายถึง 5 คน เด็กชาย เอหม่อง จึงขอออกจาก วัดโนกกะเนียง เพื่อมาช่วยเหลือ ทางบ้าน ด้วยความขยันขันแข็ง จนกระทั่งอายุ 18 ปี เจ้าอาวาส วัดเกลาสะ ได้ไปขอ กับบิดามารดา ให้เด็กชาย เอหม่อง ไป บรรพชา เป็น สามเณร
หลวงพ่ออุตตมะ บรรพาเป็นสามเณร ณ วัดเกลาสะ ตำบลเกลาสะ อำเภอเย จังหวัด มะละแหม่ง เมื่อจุลศักราช 1291 (พ.ศ. 2472) โดยมี พระเกตุมาลา เป็นพระอุปัชฌาย์ ปีนั้นเอง หลวงพ่อ ศึกษา ภาษาบาลี และ พระปริยัติธรรม จนสอบได้ นักธรรมตรี อีกปีหนึ่งต่อมาสอบได้ นักธรรมโท แต่ไม่นาน หลวงพ่อ ก็ตัดสินใจ สึกออกมา เพราะเห็นว่า ไม่มีใครช่วย บิดามารดา ทำนา
จนกระทั่ง หม่องเอ ซึ่งเป็นลูกของพี่สาวของบิดา ได้มาอาศัยอยู่ด้วย หลังจากที่ บิดามารดา ของ หม่องเอ เสียชีวิต จนหมดสิ้น ซึ่งเท่ากับว่า มีคนมาช่วยแบ่งเบาภาระ ในการทำนา และมีญาติ ซึ่งไว้วางใจได้ มาคอยดูแลบิดามารดา หลวงพ่ออุตตมะ จึงตัดสินใจ อุปสมบท เป็น พระภิกษุ ที่ วัดเกลาสะ โดยมี พระเกตุมาลา วัดเกลาสะ เป็น พระอุปัชฌาย์ พระนันทสาโร วัดโมกกะเนียง เป็น พระกรรมวาจารย์ พระวิสารทะ วัดเจ้าคะเล เป็น พระอนุสาวนาจารย์ เมื่อ วันพฤหัสบดี ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2476 ได้รับ ฉายา ว่า “อุตตมรัมโภ” แปลว่า ผู้มีความพากเพียรอันสูงสุด” โดย หลวงพ่ออุตตมะ ได้ตั้ง เจตจำนง ที่จะ บวชไม่สึก จนตลอดชีวิต
ด้วยความพากเพียรและใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรม ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่ออุตตมะ สามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ณ สำนักเรียน วัดปราสาททอง อำเภอเย จังหวัด มะละแหม่ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2484 สอบได้ เปรียญธรรม 8 ประโยค ที่ สำนักเรียน วัดสุขการี อำเภอสะเทิม จังหวัดสะเทิม ซึ่งเป็น ชั้นสูงสุด ของ คณะสงฆ์ ใน ประเทศพม่า ขณะนั้น บ้านเมืองกำลังเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงพ่อ จึงเดินทางกลับ วัดเกลาสะ และได้รับ มอบหมาย ให้เป็น อาจารย์สอน ภาษาบาลี แก่ภิกษุสามเณร
ต่อมาท่านก็ลา พระอุปัชฌาย์ เดินทางไปศึกษา วิปัสนากรรมฐาน ที่วัดตองจอย จังหวัดมะละแหม่ง และ วัดป่าเลไลย์ จังหวัดมัณฑะเลย์ จน มีความรู้ความสามารถ ในเรื่อง วิปัสนากรรมฐาน ตลอดจน วิชาไสยศาสตร์ และ พุทธคม เป็นอย่างดี ปี พ.ศ. 2486 หลวงพ่อจึงเริ่ม ออกธุดงค์ เพื่อหาประสบการณ์
หลวงพ่ออุตตมะ ออกธุดงค์ ไปตามที่ต่าง ๆ ในประเทศพม่า และเข้ามา ประเทศไทย ครั้งแรก ทาง จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาทราบข่าวว่า พระเกตุมาลา พระอุปัชฌาย์ กำลัง อาพาธ จึงรีบเดินทางกลับ พม่า จนกระทั่ง พระเกตุมาลา มรณภาพ ท่านก็ได้เดินทางเข้ามา ประเทศไทย อีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งนี้ หลวงพ่อ เดินทาง เข้ามาทาง ตำบลปิล็อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ประมาณปี พ.ศ. 2492
และใน ปี พ.ศ. 2492 อันเป็นพรรษาที่ 16 ของพระมหาอุตตมะรัมโภ พายุไต้ฝุ่น พัดจาก ทะเลอันดามัน สร้างความเสียหาย ให้กับ ชาวบ้าน อย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะบ้าน โมกกะเนียง และ เกลาสะ มี ผู้เสียชีวิต มากกว่าร้อยคน บ้านเรือน เหลือเพียงไม่กี่ หลังคาเรือน ชาวบ้าน ลำบากยากแค้นแสนสาหัส ข้าวของอาหารการกิน ขาดแคลนกันทั่วหน้า
นอกจาก ภัยธรรมชาติ แล้ว ชาวบ้าน ยังต้อง ประสบเคราะห์กรรม จาก ปัญหาความขัดแย้ง ใน ทางการเมือง อีกด้วย เนื่องจากการ ปะทะ และ ต่อสู้ ระหว่าง กองทหาร ของ รัฐบาลพม่า กับ กองกำลังติดอาวุธกู้ชาติ อีกทั้ง กองกำลังกู้ชาติ บางกลุ่ม แปรตัวเอง ไปเป็น โจรปล้นสดมภ์ ชาวบ้าน
ด้วยความเบื่อหน่ายเรื่องการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างชนเผ่า หลวงพ่ออุตตมะ จึงตัดสินใจจากบ้านเกิด มุ่งหน้าสู่ ดินแดนประเทศไทย เป้าหมายที่แท้จริง ของท่าน ในเวลานั้น คือ เขาพระวิหาร ปรากฏว่า เมื่อชาวบ้านรู้ข่าว ต่างเสียใจ ไม่อยากให้ท่านจากไป พากัน ร้องไห้ระงม ด้วยความอาลัย ซึ่งท่านได้ชี้แจงการออกเดินทางของท่านว่า
“การไปของเราจะเป็นปรหิต เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น”
ปี พ.ศ. 2462 ขณะเด็กชาย
ปี พ.ศ. 2467 เด็กชาย
หลวงพ่ออุตตมะ
จนกระทั่ง
ด้วยความพากเพียรและใฝ่ใจในการศึกษาพระธรรม ในปี พ.ศ. 2474 หลวงพ่ออุตตมะ
ต่อมาท่านก็ลา
หลวงพ่ออุตตมะ
และใน ปี พ.ศ. 2492 อันเป็นพรรษาที่ 16 ของพระมหาอุตตมะรัมโภ พายุไต้ฝุ่น
นอกจาก
ด้วยความเบื่อหน่ายเรื่องการรบราฆ่าฟันกัน ระหว่างชนเผ่า หลวงพ่ออุตตมะ
“การไปของเราจะเป็นปรหิต เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น”
หลวงพ่ออุตตมะ เดิน ทางเข้าเมืองไทยในช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2492-2493 ทางหมู่บ้าน อีต่อง ตำบลปิล็อก ชายแดนเขตจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้รับความช่วยเหลือจาก คนไทย สองคน ซึ่งมีเชื้อสาย มอญ พระประแดงที่มาทำเหมืองแร่ที่ บ้านอีต่อง ทั้งคู่ได้จัด บ้านพัก หลังหนึ่งให้เป็น กุฏิชั่วคราว ของ หลวงพ่อ มี ชาวเหมือง จำนวนมาก มาทำบุญกับ หลวงพ่อ เนื่องจากพื้นที่บริเวณนั้น ไม่มีวัด และ พระสงฆ์ เลย
เดิมทีนั้น คนไทยเชื้อสาย มอญ พระประแดง ทั้งสอง ต้องการ สร้างกุฏิ ถวาย หลวงพ่ออุตตมะ ให้จำพรรษาอยู่ที่ บ้านอีต่อง แต่หลวงพ่อไม่รับ เนื่องจากเกรงว่า จะกลายเป็น พระเถื่อน เข้าเมืองไทย ท่านจึงต้องการไป ขออนุญาต จากพระผู้ใหญ่ ที่ปกครองเขต ปิล็อก เสียก่อน ทั้งสองจึงพา หลวงพ่ออุตตมะ มาจำพรรษาที่ วัดท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี กับ หลวงพ่อไตแนม ซึ่งเป็นชาว กะเหรี่ยง และอุปสมบทที่ วัดเกลาสะ เช่นเเดียวกับ หลวงพ่ออุตตมะ
ปี พ.ศ. 2494 ขณะจำพรรษาที่ วัดท่าขนุน อำเภอ ทองผาภูมิ จังหวัด กาญจนบุรี หลวงพ่ออุตตมะ มีโอกาสไปสักการะ พระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ทำให้หลวงพ่อได้พบชาวไทยเชื้อสาย มอญ ที่มาจากเมืองต่าง ๆ เช่น แม่กลอง สมุทรสาคร มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้นิมนต์ หลวงพ่อ ไปจำพรรษาที่ วัดบางปลา ตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
หลังจากเดินทางกลับจาก วัดบางปลา มาจำพรรษาที่ วัดท่าขนุน หลวงพ่อไตแนม ขอให้ หลวงพ่ออุตตมะ ไปจำพรรษาที่ วัดปรังกาสี ซึ่งเป็นวัดร้าง บริเวณ วัดปรังกาสี มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และบริเวณนั้นไม่มีพระหรือวัดอื่นเลย หลวงพ่อ ร่วมกับ กำนันชาวกะเหรี่ยง นิมนต์ พระกะเหรี่ยง จากตลอดแม่น้ำ แควใหญ่ และ แควน้อย ได้ 42 รูป มาอยู่ปริวาสที่ วัดปรังกาสี 9 วัน 9 คืน หลัง
เดิมทีนั้น คนไทยเชื้อสาย
ปี พ.ศ. 2494 ขณะจำพรรษาที่
หลังจากเดินทางกลับจาก
จากนั้นก็สร้างกุฏิและเจดีย์ขึ้น หลวงพ่ออุตตมะ นิมนต์ พระกะเหรี่ยงมาจำพรรษาที่วัด 3 รูป ท่านสอน ภาษามอญ แก่พระทั้ง 3 รูปนี้ เพื่อเป็นพื้นฐานใน การสอนธรรมะ ต่อไป
หลวงพ่ออุตตมะ จำพรรษาอยู่ วัดปรังกาสี หนึ่งพรรษา ต่อมาผู้ใหญ่ทุม จากท่าขนุนมานิมนต์หลวงพ่อไปเยี่ยม หลวงปู่แสง ที วัดเกาะ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเคยไปจำพรรษาที่ วัดโมกกะเนียง เกลาสะ และ มะละแหม่ง มาก่อน และในพรรษานั้น หลวงพ่ออุตตมะ ได้จำพรรษาอยู่ที่ วัดเกาะ ตามคำนิมนต์ของ หลวงปู่แสง
ปี พ.ศ. 2494 ขณะที่ หลวงพ่อ จำพรรษา อยู่ ที่ วัดเกาะ มีคนมาแจ้งข่าวแก่ หลวงพ่อ ว่า ที่กิ่งอำเภอ สังขละบุรี มีชาว มอญ จาก บ้านเดิม ของ หลวงพ่อ อพยพ เข้าเมืองไทย ทางทางบีคลี่เป็นจำนวนมาก และต้องการ นิมนต์ หลวงพ่อ ไปเยี่ยม เมื่อ หลวงพ่ออุตตมะ ออกจาก จำพรรษา แล้วเดินทางกลับไปยัง อำเภอทองผาภูมิ และไปยัง อำเภอสังขละบุรี และพบกับคน มอญ ทั้งหมดที่มาจาก โมกกะเนียง เจ้าคะเล และ มะละแหม่ง บ้านเกิด ของท่าน หลวงพ่อจึงพาชาว มอญ เหล่านี้ไปอาศัยอยู่ที่ บ้านวังกะล่าง นับเป็น จุดกำเนิด แรกเริ่ม ของชุมชนชาว มอญ ในสังขละบุรี
หลวงพ่ออุตตมะ
ปี พ.ศ. 2494 ขณะที่
กำเนิด วัดหลวงพ่ออุตตมะ
ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็น ชาวกะเหรี่ยง และ ชาว มอญ ได้พร้อมใจกันสร้าง ศาลาวัด ขึ้น และสร้างเสร็จ ในเดือน 6 ของปีนั้นเอง แต่เนื่องจาก ยังมิได้มีการ ขออนุญาต จาก กรมการศาสนา วัด ที่สร้างเสร็จ จึงมีฐานะเป็น สำนักสงฆ์ แต่ชาวบ้านโดยทั่วไป เรียกว่า “วัดหลวงพ่ออุตตมะ” ตั้งอยู่บน เนินสูง ใน บริเวณ ที่เรียกว่า “สามประสบ” เพราะมีแม่น้ำ 3 สายไหลมาบรรจบกัน คือ แม่น้ำ ซองกาเลีย แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี
ในปี พ.ศ. 2505 เมื่อได้รับอนุญาต จาก กรมการศาสนา เป็นที่เรียบร้อย หลวงพ่ออุตตมะ จึงได้ตั้งชื่อสำนักสงฆ์ตามชื่ออำเภอเก่า (อำเภอวังกะ) ว่า “วัดวังก์วิเวการาม”
ในปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถ วัดวังก์วิเวการาม โดยปั้นอิฐเอง
ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อได้เริ่มสร้างเจดีย์จำลองแบบจาก เจดีย์พุทธคยา ที่ประเทศอินเดีย และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2529
ในปี พ.ศ. 2499 หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกับชาวบ้านที่เป็น
ในปี พ.ศ. 2505 เมื่อได้รับอนุญาต
ในปี พ.ศ. 2513 หลวงพ่อเริ่มสร้างพระอุโบสถ
ในปี พ.ศ. 2518 หลวงพ่อได้เริ่มสร้างเจดีย์จำลองแบบจาก
ตำแหน่งด้านการปกครองคณะสงฆ์และสมณศักดิ์
ปี พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาส วัดวังก์วิเวการาม
ปี พ.ศ. 2505 เป็นเจ้าอาวาส วัดศรีสุวรรณาราม
ปี พ.ศ. 2509 เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ปี พ.ศ. 2511 เป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ. 2512 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูอุดมสิทธาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชั้นโท
ปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทาน แต่งตั้ง เป็น พระครูเจ้าคณะตำบลชั้นเอก
ปี พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทาน สมณศักดิ์ เป็น พระราชาคณะ ที่ พระอุดมสังวรเถร
ปี พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์ เป็น พระราชอุดมมงคล
ปี พ.ศ. 2504 เป็นเจ้าอาวาส
ปี พ.ศ. 2505 เป็นเจ้าอาวาส
ปี พ.ศ. 2509 เป็นพระกรรมวาจาจารย์
ปี พ.ศ. 2511 เป็นพระอุปัชฌาย์
ปี พ.ศ. 2512 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูอุดมสิทธาจารย์ ตำแหน่งเจ้าคณะตำบลชั้นโท
ปี พ.ศ. 2516 ได้รับพระราชทาน
ปี พ.ศ. 2524 ได้รับพระราชทาน
ปี พ.ศ. 2534 ได้รับพระราชทาน
ผลงานของหลวงพ่อ ผู้บำเพ็ญตน เพื่อ สาธารณประโยชน์

วัดวังก์วิเวการาม


เจดีย์พุทธคยา

พระอุโบสถกลางน้ำ(หลังเก่า)




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น