องค์ บรรจุน
เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็นต้น สกุลคชเสนี เนื่องด้วยคำว่า “เจ่ง” เป็น ภาษามอญ แปลเป็นไทยว่า “ช้าง” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ จึงพระราชทาน นามสกุล ว่า “คชเสนี” ดังปรากฏ สำเนา ลาย พระราชหัตถเลขา พระราชทาน พระยาพิพิธมนตรี (ปุย คชเสนี) ดังนี้
“(พระปรมาภิไธย) วชิราวุธ ปร.
ขอให้นามสกุลของพระยาพิพิธมนตรี (ปุย) ตามที่ขอมานั้นว่า “คชเสนี” (เขียนเป็นตัวอักษรโรมันว่า “Gajaseni” สำหรับบรรดาผู้สืบสกุลตรงลงมาจากพระยาใหาโยธา (เจยหรือเจ่ง) อันเป็นมงคลนาม
ขอให้นามสกุล คชเสนี มีความเจริญรุ่งเรือง มั่นคงอยู่ ในกรุงสยามชั่วกัลปาวสานฯ:
พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖
เจ้าพระยามหาโธยา (เจ่ง) เป็นชาว มอญ เกิดใน เมืองมอญ เป็นหัวหน้าครอบครัว มอญ ที่อพยพเข้าสู่ประเทศไทย ในสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี และเป็นหัวหน้าดูแลชาว มอญ ทั้งหมดที่อยู่ในประเทศไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านเป็นบุตรของเจ้าเมืองเมียวดี หรือมิยาวดีบนแม่น้ำเมย คนละฝั่งกับเมืองแม่สอด เจ้าเมืองเมียวดีผู้นี้ เป็นน้องชายของพระยาทะละ ซึ่งเป็นเจ้ากรุงหงสาวดีองค์สุดท้าย ก่อนที่มอญจะสูญเสียอิสรภาพแก่พม่า ในสมัยของพระเจ้าอลองพญา เจ้าพระยามหาโยธา ชื่อเดิม “เจ่ง” เคยรับราชการอยู่กับพม่า คนทั้งหลายเรียกกันว่า “พระยาเจ่ง” ได้เคยคุมกองมอญสมทบกับทัพพม่า เข้ามาตีเมืองหลวงพระบางใน พ.ศ. ๒๓๑๕ ในครั้งนั้น พม่าให้พระยาเจ่งรักษาเมืองเชียงแสนอยู่ ราว ๑ ปี ได้ชาวเมืองเชียงแสนเป็นภรรยา เกิดบุตรเป็นต้นสกุล คชเสนี สายเหนือ ใช้สกุล “ณ ลำปาง” มาจนกระทั่งบัดนี้
เมื่อกลับจากเชียงแสนแล้ว พม่าได้ยกความดีความชอบ ตั้งพระยาเจ่งเป็นเจ้าเมืองเตริน ซึ่งอังกฤษเรียกว่า “เมืองอัตรัน” ซึ่งเป็นหัวเมือง มอญ ตอนใต้ของพม่า ตั้งอยู่ระหว่างเมืองเมาะตะมะ กับแดนไทยทาง ด่าน พระ เจดีย์สามองค์
ต่อมาพระเจ้ามังระ (Hsinbyushin, ๒๓๐๕–๒๓๑๙) เตรียมจะยกทัพมาที่กรุงธนบุรี เหมือนที่เคยตีกรุงศรีอยุธยามาแล้ว โดยจะยกกองทัพ มาจากเมืองเชียงใหม่ทางหนึ่ง และทางด่านพระเจดีย์สามองค์ อีกทางหนึ่ง แล้วเข้าตีกรุงธนบุรีพร้อมกัน ในการเตรียมทัพนี้ พม่าได้เกณฑ์ให้ชาว มอญ มาทำทาง ตั้งยุ้งฉางไว้ตามทางที่จะยกเข้ามา ทางด่านพระเจดีย์สามองค์ พวก มอญ ก็ไม่ชอบพม่าอยู่เป็นธรรมดาแล้ว บางพวกก็หลบหนีไป นอกจากเกณฑ์พวก มอญ มาทำทางแล้ว พม่ายังเกณฑ์ มอญ เข้ากองทัพอีกพวกหนึ่ง พวก มอญ บางพวกก็หลบหนี พม่าจึงไปจับครอบครัว มอญ นั้นๆ มาเป็นตัวจำนำ บางครั้งก็ไปจับเอาลูกหลานของ มอญ ที่ถูกเกณฑ์มาทำทางให้ เมื่อพวก มอญ ทำทางรู้เข้าก็โกรธแค้นและพร้อมใจกันเป็นกบฎ จับแพกิจจากับทหารพม่าฆ่าเสีย โดยมี พระยาเจ่ง เป็นหัวหน้ารวบรวมกำลังเข้าตีเมือง เมาะตะมะ และเมือง มอญ อื่นๆ แต่ไม่สำเร็จ จึงพากันอพยพเข้ามา ใน ประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๘
เมื่อเข้ามาอยู่ในประเทศไทยแล้ว พระยาเจ่ง มีบทบาทร่วมใน กองทัพไทย ในการ สงคราม แทบทุกครั้ง ไม่ว่า สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี จะเสด็จไป ทำสงคราม กับ พม่า ที่ไหน จะต้องมี ทหารกองมอญ พระยารามัญวงศ์ ควบคุมเข้ากระบวนทัพ ทุกครั้ง เช่น เมื่อคราวศึก อะแซหวุ่นกี้ ที่เมืองเหนือ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ พระยาเจ่ง คุม กองทัพมอญ สมทบ กับ พลเมืองชัยนาท ยกไปตั้งที่ เมือง กำแพงเพชร เพื่อซุ่มสกัด พม่า ที่ อะแซหวุ่นกี้ ส่งลงมา พระยาเจ่ง ไปตั้งซุ่มอยู่ที่ เกาะร้านดอกไม้ ใน แขวงเมืองกำแพงเพชร เมื่อ พม่า ยกลงมาก็เข้าโจมตีทันที พม่า แตกพ่ายไปหมด พระยาเจ่ง กับนายทัพ ก็ได้รับพระราชทาน บำเหน็จ พิเศษในครั้งนั้น
ในตอนปลายสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เมื่อเกิด กบฏพระยาสรรค์ ขณะที่ สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก ยกทัพไปตี เขมร พระยาสรรค์ ได้เข้าร่วมกับพวกกบฏ ๓ คน คือ ขุนสระ นายบุนนาคบ้านแม่ลา และ ขุนแก้ว น้อง พระยาสรรค์ นำทัพลงมาตีกรุงธนบุรี เข้าปล้น พระราชวัง และบังคับให้ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ออกผนวช แล้วคิดร่วมกับ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม หลาน สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ช่วยกันตั้งตัวต่อสู้กับ สมเด็จพระยามหากษัตริย์ศึก
พวก มอญ ในขณะนั้น ก็แบ่งเป็น ๒ พวก พวกหนึ่งมี พระยารามัญวงศ์ และ พระยากลางเมือง นายกองมอญ เป็นหัวหน้า ได้ไปเข้ากับพวกกบฏ อีกพวกหนึ่ง มี พระยาเจ่ง กับ พระยาราม เป็นหัวหน้าไม่ยอมเข้าร่วมกับพวก กบฏ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ซึ่งทราบข่าวเมือง ธนบุรี ก็ให้ พระยาสุริยอภัย ยกทัพเมือง นครราชสีมา เข้ามา กรุงธนบุรี พระยาสรรค์ ก็ให้ กรมขุนอนุรักษ์สงคราม ยกพลเข้าปล้นบ้าน พระยาสุริยอภัย จนเกิดสู้รบกันขึ้น เจ้าศิริรจนา ท่านผู้หญิงของ เจ้าพระยาสุรสีห์ จึงคิดร่วมกับ พระยาเจ่ง พระยาราม นายกองมอญ ซึ่งนับถือ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ช่วยกันจัดเรือกับพวก มอญ ในพระยาทั้งสองไปช่วย พระยาสุริยอภัย สู้กับพวกกบฏจนได้ชัยชนะ
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงได้มอบการศึกด้าน เขมร ให้ พระยาสุรสีห์ บังคับบัญชา และ รีบยกกองทัพกลับมา กรุงธนบุรี เพื่อจัดการเรื่องทั้งปวง
ครั้งถึงสมัยรัชกาลที่ ๑ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ พระยาเจ่ง ก็ได้รับพระราชทาน แต่งตั้ง เป็น พระยามหาโยธา ที่ จักรีมอญ แทน พระยารามัญวงศ์ ซึ่งว่างอยู่ สันนิษฐานว่า พระยารามัญวงศ์ เดิม ซึ่งส่วนร่วม ในกบฏ พระยาสรรค์ คงจะถูกถอดออก จากตำแหน่ง และตำแหน่งนั้น ก็ว่างอยู่ จนพระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงตั้ง พระยาเจ่ง ขึ้นแทน
เมื่อได้เป็น พระยามหาโยธา ที่ จักรีมอญ บังคับบัญชา กองทัพมอญ ทั้งปวงก็คงได้ควบคุม กองทหารมอญ และได้โดยเสด็จในการ สงคราม ติดต่อมาทุกครั้ง
ใน พ.ศ. ๒๓๒๘ คราวศึก พระเจ้าปดุง พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดให้ สมเด็จพระอนุชาธิราช กรมพระราชวังบวร มหาสุรสิงหนาท ยกทัพใหญ่ ไปตั้งรับพม่า ที่ตำบลลาดหญ้า แขวงเมืองกาญจนบุรี กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ก็มีรับสั่งให้ พระยามหาโยธา (เจ่ง) คุมกองมอญ ๓,๐๐๐ คนไปขัดตาทัพ ที่ ด่านกรามช้าง ที่ช่องเขา ริมน้ำแควใหญ่ อันเป็นทางที่ข้าศึกจะผ่าน
ใน พ.ศ. ๒๓๓๐ พระยามหาโยธา (เจ่ง) คงจะมีความชอบพิเศษ เมื่อครั้ง พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เสด็จไปตี เมืองทวาย จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนยศขึ้น เป็น เจ้าพระยามหาโยธา
จะเห็นได้ว่า บทบาทของ เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ที่มีต่อราชการแผ่นดินนั้น หนักไปในด้านทาง การศึกสงคราม ระหว่าง ไทยกับพม่า เป็นส่วนใหญ่ นอกจาก จะเป็นผู้คุม กองมอญ เข้าร่วม ใน กองทัพไทย แล้ว เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ยังมีความสำคัญ ในฐานะ เป็นผู้อำนวยการ ในการสืบจับ ความเคลื่อนไหว ของพม่า ในแดนพม่าอีกด้วย ทั้งนี้เพราะทั้งตัว เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เอง และ ทั้ง กองมอญ อาทมาต ซึ่งทำหน้าที่เป็น พนักงานตรวจตราด่าน ทางต่อแดน เข้าไปจนถึงในประเทศพม่า ต่างก็มีญาติและมิตร อยู่ในหัวเมือง มอญ จำนวนมาก ที่คอยให้ความช่วยเหลือ และแจ้งข่าวให้ทราบ ที่สำคัญคือ เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เอง เคยเป็นเจ้าเมืองเตริน (อัตรัน) มาก่อน ย่อมจะได้รับความเคารพนับถือ จากชาว มอญ ทั่วไป ซึ่งทำให้ การส่งข่าวสะดวกมากขึ้น ช่วยให้ไทยสามารถ จัดเตรียมทัพ และวางแผนในการตั้งรับ ได้อย่างดี ดังนั้น พม่า จึงคิดจะแย่งตัว เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ไปจากไทย
ใน พ.ศ. ๒๓๔๐ พม่าได้ส่งหนังสือมายัง เสนาบดีไทย ขู่ให้ส่งตัว เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) คืนให้กับพม่า เพราะ พม่า ถือว่า เป็นคนของพม่า ถ้าไม่คืนให้ ก็จะยกกองทัพมาตี กรุงเทพฯ และ พม่า ขณะนั้น มีแสนยานุภาพมาก แม้แต่อังกฤษ (ที่อินเดีย) ยังต้องส่งบรรณาการมาให้ เพื่อขอเป็นไมตรี และ ถ้าจะรบกับไทย อังกฤษ ก็จะช่วยรบให้ ไทยไม่ยอมทำตาม พม่า ก็เอาหนังสือขู่มาติดไว้ ตามชายแดน ฝ่ายไทย ก็ได้เตรียมการต่อสู้ แต่พม่าไม่ได้ตั้งใจจะรบจริง กลับยกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. ๒๓๔๐ ทั้งนี้ เพราะเสียดายหัวเมือง ในมณฑลพายัพ ซึ่งต่อแดนเมืองไทยใหญ่ ของพม่า ฝ่ายไทยโดย กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เป็น จอมพลคุมทัพไทย ตี พม่า แตกพ่ายยับเยินไป และ จับได้ตัว อุบากอง นายทัพคนหนึ่งของพม่า และได้ส่งตัวมาจำคุกไว้ ที่กรุงเทพฯ
อุบากอง ผู้นี้มีมารดา เป็นไทย และเกิดในเมืองไทย ส่วนบิดาเป็น มอญ และถูก กวาดต้อน ไปพม่า เมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อไปเติบโต ในพม่าก็ได้รับราชการกับพม่า ในระหว่างจำคุก ในไทย ได้สอนวิชาอาคม แก่เพื่อนนักโทษ มีผู้คนนับถือมากเรียกว่า “ยันต์อุบากอง” จำคุกอยู่ ๓ ปี ก็หนีไปได้ ในปี พ.ศ. ๒๓๔๖ พม่า จึงใช้ให้เขียนหนังสือ ถึง เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ซึ่งคุ้นเคยกัน เป็นส่วนตัว เนื้อความว่า พม่าจะขอเป็นไมตรีกับไทย เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ทราบดีว่า เป็นกลศึกของพม่า ที่ว่า เมื่อใดที่พม่าชวนไทย เป็นไมตรีด้วย เพื่อให้ไทยตายใจ ในปีถัดไป ก็จะยกทัพมาโจมตีเสมอมา เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) จึงนำความปรึกษา กับ อัครเสนาบดี ซึ่งก็เห็นตรงกันว่า ไม่ควรนำหนังสือนี้ ขึ้นกราบบังคมทูล จึงได้มีหนังสือตอบปฏิเสธไป เป็นการส่วนตัว
เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) นั้น นอกจาก จะรับราชการ ฉลองพระเดชพระคุณ แก่แผ่นดินไทยแล้ว ยังเป็นผู้มีศรัทธาและเชื่อมั่น ใน พุทธศาสนา เป็นอย่างมาก ท่านได้สร้าง วัดเชิงท่า ที่ตำบล คลองบางตลาด ริม แม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งซ้าย ในอำเภอ ปากเกร็ด จังหวัด นนทบุรี อันเป็นตำบลที่ตั้ง ภูมิลำเนา ท่านมาแต่ก่อน (วัดเชิงท่า นี้ต้องรื้อไป เพราะ กรมชลประทาน มีเขตติดต่อกับวัดนี้ มีความจำเป็นขยายงาน และ กรมชลประทาน ก็ได้สร้าง วัดชลประทานรังสฤษดิ์ ที่งดงามให้แทน โดยสร้างขึ้นที่ริม ทางหลวง)
ในลำดับ สกุลคชเสนี ว่า เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) มีบุตรชาย ๕ คน และบุตรหญิง ๑ คน คนที่ ๑ เกิดใน เมืองมอญ ชื่อว่า “ตะโดด” แปลว่าพ่อน้อย ตามบิดา เข้ามาอยู่เมืองไทย ได้เป็นที่ พระยาเกียรติ สันนิษฐานว่า ได้เป็น เมื่อบิดาได้เลื่อนที่ขึ้นเป็น พระยามหาโยธา ในรัชกาลที่ ๑ ปรากฏประวัติเพียงเท่านั้น บุตรคนที่ ๒ เกิดที่ เมืองเชียงแสน มารดาชื่อ เจ้าสมนา เป็นคนไทยมีศักดิ์ เป็นเจ้า ชาวเมืองนั้น บุตรจึงมีศักดิ์เป็นเจ้า ตามมารดาได้ชื่อ เจ้าชมภู มีลูกหลานสืบสกุลมา ใน มณฑลพายัพ มาจนบัดนี้ บุตรคนที่ ๓ เกิดใน เมืองมอญ ชื่อ “ทะเรียะ” แปลว่า ทองชื่น ตามบิดาเข้ามาอยู่ ในเมืองไทย ได้เป็น เจ้าพระยามหาโยธา คนที่ ๒ ด้วยทรงคุณพิเศษ ขึ้นชื่อปรากฏเรื่อง พงศาวดาร และเป็นต้นสายสำคัญ ใน สกุลคชเสนี บุตรคนที่ ๔ เกิดในกรุงธนบุรี ชื่อ “ทอมา” แปลว่าทองมา ซึ่งในประวัติกล่าวว่า ได้เป็นผู้ว่าราชการเมือง นครเขื่อนขันธ์ (เมืองพระประแดง) แต่แรกตั้งเมื่อรัชกาลที่ ๒ เพราะโปรดให้ มอญ พวกพระยาเจ่ง ย้ายลงไปตั้งภูมิลำเนา ที่ ปากลัด รักษาเมืองนั้น บุตรคนที่ ๕ เกิดในกรุงธนบุรี ชื่อ วัน ได้เป็นที่ พระยาราม ใน กองมอญ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ บุตรคนที่ ๖ เป็นหญิงชื่อ ทับทิม
เจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ถึง อสัญกรรม ในปีใดไม่ปรากฏ อาจจะเป็นตอนต้นรัชกาลที่ ๒ ก็ได้ เพราะในสมัยรัชกาลที่ ๒ พ.ศ. ๒๓๖๓ ได้ปรากฏชื่อ พระยามหาโยธา (ทอเรียะ) บุตรของท่านว่า อยู่ในตำแหน่ง หัวหน้าควบคุมชาว มอญ แทนท่านเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง)
เอกสารอ้างอิง
- พงศาวดารมอญ พม่า คัดจากประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑, หน้า ๙๓–๙๔. สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงสันนิษฐานว่า “พระยาเจ่ง ผู้เป็นนายใหญ่อาจจะได้เป็นที่ “พระยาเกียรติ” อันเป็นคู่กับพระยาราม ในทำเนียบมอญก็เป็นได้”
- เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๕.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๗ อ้างถึงใน ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, ๒๙ เจ้าพระยา (ฉบับพิศดาร)
- เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๕.
- เรื่องเดียวกัน, หน้า ๑๐๗ อ้างถึงใน ณัฐวุฒิ สุทธิสงคราม, ๒๙ เจ้าพระยา (ฉบับพิศดาร)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น