มอญ : ชนชาติบนแผ่นดินสุวรรณภูมิ
แผนที่ประเทศไทย
มอญ
เผ่าพันธุ์ ดั้งเดิมแห่ง กรุงหงสา ชนเผ่าที่มี ภาษา วัฒนธรรม และประเพณี เป็นของตนเอง กลุ่มชน ที่อยู่เป็น กลุ่มนอกระบบ ชนกลุ่มน้อย ที่ไม่ยอมถูกกลืน ชนชาติอิสระ ที่ปกครองกันเอง เผ่าพันธุ์ สมิงพระราม ผู้เกรียงไกร ชนเผ่า ที่ไร้แผ่นดิน กลุ่มชน ที่ไม่มีบน แผนที่โลก ชนกลุ่มน้อย ที่ สหประชาชาติ เมิน ชนชาต ิที่ถูกลืม….. บนแผ่นดินสุวรณภูมิ
เผ่าพันธุ์
โดย : สุดารา สุจฉายา
มอญ เป็น ชนชาติ เก่าแก่ ที่มี อารยธรรม รุ่งเรือง มาก ชนชาติหนึ่ง ในภูมิภาคนี้ ตาม พงศาวดารพม่า กล่าวว่า "มอญ"เป็น ชนชาติ แรกที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ใน พม่า มาเป็นเวลา หลายศตวรรษ ก่อนคริสต์กาล ชาว"มอญ"เป็นพวก ที่มีเชื้อสายอยู่ ในกลุ่ม"มอญ"-เขมร และ บางที อาจจะ อพยพมา จากตอนกลางของ ทวีปเอเชีย เข้ามาตั้ง อาณาจักร ของตนทาตอนใต้ บริเวณลุ่ม แม่น้ำสาละวิน และ สะโตง ซึ่งบริเวณนี้ ในเอกสารของ จีน และ อินเดีย เรียกว่า "สุวรรณภูมิ"
ขณะเดียวกัน ในแถบตอนกลาง ของประเทศพม่า ก็มี อาณาจักร หนึ่งที่เจริญรุ่งเรือง มาตั้งถิ่นฐานอยู่ นั่นก็คือ อาณาจักรพยู หรือ ศรีเกษตร พวกนี้ไม่เหมือนกับ"มอญ" หากเป็นพวก ที่จัดอยู่ในเชื้อสาย ธิเบต-พม่า พวกพยู ได้ตั้งเมืองหลวง แห่งแรก ขึ้นที่ ศรีเกษตร ใกล้กับ เมืองแปร (Prome) ในปัจจุบัน และทุกวันนี้ ก็ยังคงมองเห็น เป็น ซากปรักหักพัง ของสถาปัตย์แบบ พุทธศาสนา หลายแห่ง โดยได้รับ อิทธิพล มาจาก ศาสนาพราหมณ์ นั่นเอง
นักภูมิศาสตร์ อาหรับ บางท่านเรียก มอญ ว่า รามัญประเทศ (Ramannadesa) ซึ่งหมายถึง "ประเทศมอญ" คำนี้เพี้ยนมาจากคำ ศัพท์โบราณ ของ"มอญ" คือ Rmen (รามัญ) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียก ตัวเองของ"มอญ" แต่พม่าเรียก"มอญ"ว่า ตะเลง (Talaings) ซึ่ง เพี้ยน มาจากคำว่า Talingana อันเป็น แคว้น หนึ่ง ทาง ภาคตะวันตกเฉียงใต้ ของ ประเทศอินเดีย
ตามตำนานกล่าวว่า มอญ เป็นผู้วางรากฐานสร้างเจดีย์ "ชเวดากอง" เป็นเวลาเกือบ 2500 ปีมาแล้ว หากแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เรารู้แต่ว่า มอญ เป็นผู้นำศาสนาพุทธ เข้ามาในประเทศพม่า ในพุทธศตวรรษที่ 2 อาณาจักรสุธรรมวดี หรือ สะเทิม (Thaton) ซึ่งเป็นศูนย์กลาง ของ"อาณาจักรมอญ" มีสัมพันธ์ใกล้ชิด กับ พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งอินเดีย พระองค์ได้ส่ง พระโสณะ และ พระอุตร มาประกาศ พระพุทธศาสนา ที่เมืองนี้ก่อนเมืองใดๆ ในแถบ สุวรรณภูมิ
พงศาวดารมอญ กล่าวถึง อาณาจักรสะเทิม ว่า สร้างก่อน พ.ศ. 241 โดย พระราชโอรส 2 พระองค์ของ พระเจ้าติสสะ แห่งแคว้นหนึ่งของอินเดีย ได้นำพลพรรคลงเรือสำเภา มาจอดที่ อ่าวเมาะตะมะ และตั้งรากฐานที่นั่น ซึ่งต่อมาเป็นที่ตั้งของ เมืองสะเทิม ส่วน พระราชโอรส ทั้งสอง ทรงเบื่อใน การครองเรือน จึงได้ออกบวชเป็น ฤาษี บำเพ็ญตบะ แก่กล้า จนวันหนึ่งได้นำลูกของ พญานาค ที่ทิ้งไว้ มาเลี้ยงดูเป็น บุตรบุญธรรม จนเมื่อเด็กเติบใหญ่ จึงได้สร้างเมืองให้ ณ ปากอ่าว เมาะตะมะ ตรงที่สำเภามาจอด ให้ชื่อเมืองว่า สะเทิม ส่วนบุตรบุญธรรม ก็ได้รับ การสถาปนา เป็น กษัตริย์นามว่า พระเจ้าสีหราชา ซึ่งได้เป็น ปฐมกษัตริย์ แห่งเมือง
อาณาจักรสะเทิม รุ่งเรืองมาก โดยได้ติดต่อค้าขาย ใกล้ชิดกับประเทศอินเดีย และลังกา และได้รับเอา อารยธรรมของ อินเดีย มาใช้ ที่สำคัญคือ ทางด้าน อักษรศาสตร์ และศาสนา โดยเฉพาะรับเอา พุทธศาสนา นิกายหินยานมา มอญ เป็นชาติที่มีบทบาทมากที่สุด ในการถ่ายทอด อารยธรรมอินเดีย ให้แก่ชนชาติอื่นๆ ในเอเชียอาคเนย์ เช่น ชาวพม่า ไทย และลาว ทั้งมีความเจริญสูง มีความรู้ดี ทางด้าน การเกษตร และมี ความชำนาญ ในการ ชลประทาน โดยเป็นผู้ริเริ่ม ระบบชลประทาน ขึ้น ในลุ่มน้ำ อิระวดี ทางตอนกลางของประเทศพม่า ประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 พวกพยูได้ย้ายราชธานีไปอยู่ที่ Halin ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือในเขตแดน ชเวโบ ในระยะเวลาเดียวกันนั้นพวกน่านเจ้า ก็เข้ารุกรานทางตนเหนือของพม่า และทำสงครามกับพวกพยูในปี พ.ศ. 1375 กวาดต้อนชาว พยู ไปเป็นเชลยจำนวนมาก พวกที่เหลือจึงลี้ภัยลงมาทางใต้ และสร้างเมือง พุกาม (Pagan) เป็นที่มั่นในปีพ.ศ. 1392 จากนั้นเรื่องราวของพวก"พยู"ก็หายไป ความอ่อนแอของพวก"พยู"ทำให้ชนอีกพวกหนึ่ง ที่มีเชื้อสายเดียวกัน ได้แก่ พวกมราม่า (Mramma) หรือพม่า ซึ่งอพยพมาจากบริเวณเขตแดนจีน-ทิเบต ได้เข้ามาตั้งหลักแหล่งทางตอนเหนือ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 14 ได้เข้ารุกราน และยึดครองดินแดนของพวก"พยู" แล้วค่อยๆกลืนพวก"พยู"จนสูญสิ้นชาติไปในที่สุด
ในช่วงที่ อาณาจักรพยู ถูก"น่านเจ้า" รุกรานนั้น อาณาจักรมอญ ที่ สะเทิม ก็ได้มีโอกาส ขยายอำนาจไปทางภาคกลาง ของลุ่มแม่น้ำอิระวดีระยะหนึ่ง แต่ต่อมาเมื่อ ชนชาติพม่า มีอำนาจเหนือ อาณาจักรพยู และได้ขยายอำนาจลงมาทางใต้ ก็เข้ารุกรานพวก มอญ ทางภาคกลาง ของลุ่มน้ำอิระวดี มอญ ในแถบนั้นจึงต้องถอยร่นลงมา รวมกำลังกันอยู่ ทางตอนใต้เช่นเดิม และได้สร้างเมืองหลวงขึ้น ใหม่ ที่ หงสาวดี (Pegu) เมื่อปี พ.ศ.1368
ตามตำนานพื้นเมืองของ"มอญ" กล่าวถึงการสร้างเมืองหงสาวดีว่า มีเจ้าชายสองพี่น้องจากสะเทิม คือ เจ้าชายสามะละ และวิมะละ ได้มาตั้งเมือง หงสาวดี ขึ้นบนเกาะ ซึ่งงอกออกมาจากทะเล อันเป็นบริเวณ ที่พระพุทธเจ้า ทรงเห็นหงส์ 2 ตัว เล่นน้ำอยู่ เป็นส่วนหนึ่ง ของที่ราบลุ่มสามเหลี่ยม ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดี ซึ่งเรือของพ่อค้าอินเดีย เคยมาถึงเกาะดังกล่าวนั้นแล้ว แต่"มอญ" ยังคงอ้างสิทธิ์ ในเกาะนั้น แม้ว่าอินเดียจะอ้างเป็นเจ้าของก็ตาม ต่อมา พระเจ้าสามะละ พระเชษฐา ได้ส่ง พระอนุชา ไปศึกษาต่อที่อินเดีย โดยสัญญาว่าเมื่อเสด็จกลับมา จะถวายราชสมบัติให้ แต่เมื่อเจ้าชายวิมะละเสด็จมา พระองค์ก็ไม่สนพระทัยทำตามสัญญา เจ้าชายวิมะละจึงก่อกบฏ และปลงพระชนม์ พระเชษฐาเสีย แล้วยึดบัลลังก์ พระมเหสี ของ พระเจ้าสามะละ ได้นำพระราชโอรสหลบหนีไปอยู่นอกเมือง บริเวณทุ่งเลี้ยงควาย จนเจ้าชายน้อยเติบใหญ่ เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่ กล้าหาญ และเข้มแข็ง เมื่อพระชนม์ได้ 16 ชันษา มีเรือพ่อค้าอินเดียมา ท้ากษัตริย์ให้รบกับ ทหารอินเดีย ตัวสูงใหญ่ โดยพนันเอาเมือง สงหาวดี กัน กษัตริย์ทรงทราบดีว่า พระองค์ไม่สามารถสู้ได้ จึงประกาศหาผู้อาสามารบ แต่ไม่มีผู้ใดอาสาเลย วันหนึ่ง นายพรานออกป่าไปล่าสัตว์ ได้พบชายหนุ่มท่าทางเข้มแข็ง อยู่ท่ามกลางควายป่าดุร้าย ก็แปลกใจ จึงได้นำไปทูลต่อกษัตริย์ พระองค์จึงให้นำชายหนุ่มผู้นั้นเข้าเฝ้า และเมื่อทรงทราบว่า เป็นพระราชนัดดาของตนเอง ก็ทรงละอายพระทัยต่อความผิด ต่อมาชายหนุ่มผู้เป็นราชนัดดาของกษัตริย์ ได้อาสาออกรบ ปรากฎว่าได้รับชัยชนะในการต่อสู้ พระองค์จึงยินดีเป็นอย่างยิ่ง และได้คืนราชบัลลังก์ให้ เป็นรางวัลตอบแทน
นอกจากนี้ ในตำนาน ยังได้ให้รายพระนามกษัตริย์ ที่ครองกรุงหงสาวดี ก่อนสมัยพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะไม่มีเอกสารใดยืนยันได้ พระนามกษัตริย์ที่ระบุไว้มีดังนี้
1) พระเจ้าสามะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1368 อันเป็นที่ตั้งกรุงสงหาวดี
2) พระเจ้าวิมะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1380 เป็นอนุชาพระเจ้าสามะละ
3) พระเจ้าอะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1397 เป็นพระราชโอรสพระเจ้าสามะละนัดดาพระเจ้าวิมะละ
4) พระเจ้าอรินทมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1404
5) ภิกษุไม่ทราบชื่อ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1428
6) พระเจ้าเคอินทะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1445
7) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1460
8) พระเจ้าเคอิศศะทิตย์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1475
9) พระเจ้ากรวิก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1485
10) พระเจ้าปยินจะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1497
11) พระเจ้าอัตตะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1510
12) พระเจ้าอนุยะมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1525
13) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1537
14) พระเจ้าเอกะสะมันต์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1547
15) พระเจ้าอุบล ครองราชย์ปี พ.ศ. 1559
16) พระเจ้าบุณฑริก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1570
17)พระเจ้าดิศศะ ครองราชย์ปี พ.ศ.1584
หลังจากนี้ในช่วงปี 1600-1830 เป็นระยะที่กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกามในพุทธศตวรรษที่ 16 "อาณาจักรสุธรรมวดี "ที่รุ่งเรื่องก็สลายลง เนื่องจาก"พระเจ้าอนิรุทธ์" กษัตริย์พม่าแห่ง"พุกาม"ได้ยกทัพมาตี และกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก รวมทั้ง"พระเจ้ามนูหะ" กษัตริย์แห่งสุธรรมวดีด้วย "พงศาวดารมอญ"บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "เมืองสะเทิมที่ยิ่งใหญ่เหลือแต่ซากและเงียบสงบจับใจ"
การที่ พระเจ้าอนิรุทธ์ ยกทัพมาตี"อาณาจักรมอญ" เป็นเพราะว่าขณะนั้น พระองค์ไม่พอใจใน ศาสนา เดิมของ พุกาม ที่นับถือ มหายาน แบบตันตริก ซึ่งปน ไสยศาสตร์ เรียกว่า"ลัทธิอรี" พระองค์ต้องการแก้ไข และทรงสนพระทัย ในศาสนาพุทธ นิกายมหายาน ที่กำลังรุ่งเรืองมาก ใน อาณาจักรสุธรรมวดี ไปเผยแพร่ใน พุกาม แต่เป็นการยาก เพราะพุกามขาดพระไตรปิฎก ดังนั้น พระองค์จึงส่งทูตไปขอพระไตรปิฎก จาก พระเจ้ามนูหะ แห่ง สุธรรมวดี ตามคำแนะนำของ ชินอรหันต์ ซึ่งประวัติศาสตร์กล่าวว่า เป็นพระภิกษุ มอญ ที่ทรงอาราธนา มาช่วยฟื้นฟูศาสนาในพุกาม แต่ว่า พระเจ้ามนูหะ ไม่ยินยอมให้ ทำให้ พระเจ้าอนิรุทธ์ ซึ่งต้องการขยายอำนาจลงมาทางใต้อยู่แล้ว ฉวยโอกาสยกทัพมาตี สุธรรมวดี
ใน"พงศาวดารมอญ กล่าวเป็นตำนานถึงการที่ พระเจ้ามนูหะ แพ้แก่ พระเจ้าอนิรุทธ์ว่า เป็นเพราะ พระเจ้าอนิรุธ ได้ใช้กลวิธี ส่งพระราชธิดา ของตนไปทำลาย พระเจ้ามนูหะ โดยให้ธิดาของตนทำลายของวิเศษ 3 อย่าง ของพระเจ้ามนูหะ คือ
ทำลายไม่ให้ พระเจ้ามนูหะ สมาทานศีล
ทำลายกลองพิเศษ
ทำลายแม่ทัพ 2 คน ที่มีฝีมือเก่งกล้าในการรบ
เมื่อพระธิดาสามารถทำลายได้แล้วทั้ง 3 อย่าง ก็ได้ส่งข่าวให้กองทัพของ พระเจ้าอนิรุทธ์ กรีฑาทัพบุกเข้าตี สะเทิม จน อาณาจักรสะเทิม ต้องแตกไปในที่สุด
แม้ว่าพม่าจะได้ชัยชนะ แต่พม่าก็ต้องรับเอา"วัฒนธรรมของ มอญ " มาเป็นของตนเอง "ภาษามอญ"ได้แทนที่ ภาษาบาลี และ สันสกฤต ใน จารึกหลวง และ ศาสนา พุทธเถรวาท ได้เป็นศาสนาที่นับถือสูงสุดใน พุกาม ทั้งนี้เพราะ"มอญ"มีความใกล้ชิดกับลังกา ซึ่งขณะนั้นเป็นศูนย์กลาง ของพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาท และนิกายนี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่งเอเชียอาคเนย์
กษัตริย์พุกาม ผู้ซึ่งดำเนินนโยบายรวม"มอญ"กับพม่าเข้าด้วยกัน ตามนโยบายแบบเดียงกับ พระเจ้าอนิรุทธ์ อีกพระองค์หนึ่งก็คือ พระเจ้ากยันสิทธะ พระองค์ทรงดำเนินนโยบาย โดยทรงผูกมิตรกับราชตระกูลของ พระเจ้ามนูหะ "กษัตริย์มอญ"แห่ง สะเทิม โดยการยกพระราชธิดาให้กับ เจ้าชายมอญ และได้เลือกพระราชโอรส ที่ประสูติจากทั้งสองพระองค์นี้ ให้ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระองค์ นามว่า อลองคะสิทธู ซึ่งในยุคของ พระเจ้าอลองคะสิทธู นี้เอง ที่"อาณาจักรพุกาม"ได้รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นที่สุด นอกจากนี้ในสมัยของพระเจ้า กยันสิทธะ ศิลาจารึกของพระองค์จะมีทั้ง"ภาษามอญ"และภาษาพม่า คำประกาศใน"ภาษามอญ" ก็ยกย่อง"วัฒนธรรมมอญ"เหนือกว่า วัฒนธรรมพม่า ด้วย
มอญ ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของพม่า มาจนถึงปี พ.ศ. 1830 เมื่อ"มองโกล"ยกทัพมาตีพม่า มอญ ก็ได้รับเอกราชอีกครั้งหนึ่งโดย มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว หรือ วาเรรุ ราชบุตรเขย ของ"พ่อขุนรามคำแหง" ได้กอบกู้เอกราช และสถาปนา ราชวงค์ชาน-ตะเลง สถาปนา"อาณาจักรมอญอิสระ" มีศูนย์กลาง อยู่ที่เมือง เมาะตะมะ เมาะตะมะ เป็น เมืองหลวงของ มอญ จนถึงปี พ.ศ. 1912 ก็ย้ายกลับไป หงสาวดี ตามเดิม ถึงในสมัย"พระเจ้าราชาธิราช"นั้น "หงสาวดี"ก็กลายเป็น ศูนย์กลางทางการค้า ที่ใหญ่โต ทางแถบ"อ่าวเบงกอล" มีเมืองท่าที่สำคัญหลายแห่ง "อาณาจักรมอญ"เจริญสูงสุดในสมัยพระเจ้าธรรมเจดีย์ คือ ระหว่าง พ.ศ.2015-2035 หลังจากนั้นในปี พ.ศ.2094 หงสาวดีก็เสียแก่ พระเจ้า"ตะเบงชะเวตี้" กษัตริย์พม่า ซึ่งในช่วงนี้เองที่ ราชวงศ์ตองอู ของพม่าขึ้นปกครอง หงสาวดี จนถึงปี พ.ศ. 2283 สมิงทอพุทธิเกศ ก็กู้เอกราชคืน มาจากพม่าได้สำเร็จ ทั้งยังยกทัพไปตี เมืองอังวะ อีกด้วย ในพ.ศ.2290 พระยาทะละ ได้ครองอำนาจแทน สมิงทอพุทธิเกศ ได้ทำการขยายอาณาเขตต่อไป ทำให้ อาณาจักรพม่า สลายตัวลง แต่"ชัยชนะของมอญ"ก็เป็นช่วงสั้นๆเท่านั้น ในปี พ.ศ.2300 อลองพญา ก็กู้อิสรภาพของพม่ากลับคืนมาได้ ทั้งยังได้โจมตี มอญ จนต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจ พม่า และนับตั้งแต่นั้นมา มอญ ก็ไม่มีโอกาสที่จะ กู้เอกราช คืนมาได้อีกเลย จนกระทั่งทุกวันนี้.
ขณะเดียวกัน
นักภูมิศาสตร์
ตามตำนานกล่าวว่า มอญ เป็นผู้วางรากฐานสร้างเจดีย์ "ชเวดากอง" เป็นเวลาเกือบ 2500 ปีมาแล้ว หากแต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ เรารู้แต่ว่า มอญ เป็นผู้นำศาสนาพุทธ เข้ามาในประเทศพม่า ในพุทธศตวรรษที่ 2 อาณาจักรสุธรรมวดี
พงศาวดารมอญ กล่าวถึง
อาณาจักรสะเทิม
ในช่วงที่
ตามตำนานพื้นเมืองของ"มอญ" กล่าวถึงการสร้างเมืองหงสาวดีว่า มีเจ้าชายสองพี่น้องจากสะเทิม คือ เจ้าชายสามะละ และวิมะละ ได้มาตั้งเมือง
นอกจากนี้ ในตำนาน ยังได้ให้รายพระนามกษัตริย์ ที่ครองกรุงหงสาวดี ก่อนสมัยพระเจ้าฟ้ารั่ว แต่ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะไม่มีเอกสารใดยืนยันได้ พระนามกษัตริย์ที่ระบุไว้มีดังนี้
1) พระเจ้าสามะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1368 อันเป็นที่ตั้งกรุงสงหาวดี
2) พระเจ้าวิมะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1380 เป็นอนุชาพระเจ้าสามะละ
3) พระเจ้าอะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1397 เป็นพระราชโอรสพระเจ้าสามะละนัดดาพระเจ้าวิมะละ
4) พระเจ้าอรินทมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1404
5) ภิกษุไม่ทราบชื่อ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1428
6) พระเจ้าเคอินทะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1445
7) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1460
8) พระเจ้าเคอิศศะทิตย์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1475
9) พระเจ้ากรวิก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1485
10) พระเจ้าปยินจะละ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1497
11) พระเจ้าอัตตะสะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1510
12) พระเจ้าอนุยะมะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1525
13) พระเจ้ามิคาทีปะ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1537
14) พระเจ้าเอกะสะมันต์ ครองราชย์ปี พ.ศ. 1547
15) พระเจ้าอุบล ครองราชย์ปี พ.ศ. 1559
16) พระเจ้าบุณฑริก ครองราชย์ปี พ.ศ. 1570
17)พระเจ้าดิศศะ ครองราชย์ปี พ.ศ.1584
หลังจากนี้ในช่วงปี 1600-1830 เป็นระยะที่กรุงหงสาวดี ตกอยู่ใต้อำนาจพุกามในพุทธศตวรรษที่ 16 "อาณาจักรสุธรรมวดี "ที่รุ่งเรื่องก็สลายลง เนื่องจาก"พระเจ้าอนิรุทธ์" กษัตริย์พม่าแห่ง"พุกาม"ได้ยกทัพมาตี และกวาดต้อนผู้คน ทรัพย์สมบัติ พระสงฆ์ พระไตรปิฎก กลับไปพุกามจำนวนมาก รวมทั้ง"พระเจ้ามนูหะ" กษัตริย์แห่งสุธรรมวดีด้วย "พงศาวดารมอญ"บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า "เมืองสะเทิมที่ยิ่งใหญ่เหลือแต่ซากและเงียบสงบจับใจ"
การที่
ใน"พงศาวดารมอญ กล่าวเป็นตำนานถึงการที่
ทำลายไม่ให้
ทำลายกลองพิเศษ
ทำลายแม่ทัพ 2 คน ที่มีฝีมือเก่งกล้าในการรบ
เมื่อพระธิดาสามารถทำลายได้แล้วทั้ง 3 อย่าง ก็ได้ส่งข่าวให้กองทัพของ
แม้ว่าพม่าจะได้ชัยชนะ แต่พม่าก็ต้องรับเอา"วัฒนธรรมของ
กษัตริย์พุกาม ผู้ซึ่งดำเนินนโยบายรวม"มอญ"กับพม่าเข้าด้วยกัน ตามนโยบายแบบเดียงกับ
มอญ ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของพม่า มาจนถึงปี พ.ศ. 1830 เมื่อ"มองโกล"ยกทัพมาตีพม่า มอญ ก็ได้รับเอกราชอีกครั้งหนึ่งโดย มะกะโท หรือพระเจ้าฟ้ารั่ว หรือ
บทความจาก เว็บ บ้านจอมยุทธ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น