
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะในพระราชพงศาวดารระบุไว้ชัดเจนว่า ในการอพยพของมอญอย่างน้อย ๒ ครั้ง ที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดฯ พระราชทานที่ทำกินให้แก่ชาวมอญที่ปากเกร็ด
ครั้งแรก ในการอพยพราว พ.ศ.๒๓๑๖ มีเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็นหัวหน้า สมัยกรุงธนบุรี ครั้งนั้นพระเจ้าตากสินทรงโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ด ดังความในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า
“ฝ่ายพวกรามัญที่หนีพม่ามานั้น พระยาเจ่ง ตละเสี้ยง ตละเกล็บ กับพระยากลางเมือง ซึ่งหนีเข้ามาครั้งกรุงเก่า พม่าตีกรุงได้นำตัวกลับไป และสมิงรามัญ นายไพร่ทั้งปวงพาครัวเข้ามาทุกด่านทุกทาง ให้ข้าหลวงไปรับมาถึงพระนครพร้อมกัน แล้วทรงพระกรุณาให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองนนท์บ้าง เมืองสามโคกบ้าง แต่ฉกรรจ์จัดได้สามพัน โปรดให้หลวงบำเรอศักดิ์ครั้งกรุงเก่า เป็นเชื้อรามัญให้เป็นพระยารามัญวงศ์ เรียกว่า จักรีมอญ ควบคุมกองมอญใหม่ทั้งสิ้น และโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราภูมิคุ้มห้ามสรรพากรขนอนตลาดทั้งปวง ให้ค้าขายทำมาหากินเป็นสุข แล้วให้เกณฑ์พระยารามัญวงศ์คุมกองมอญ ยกหนุนออกไปต่อรบพม่าอีกทัพหนึ่ง”
ครั้งที่ ๒ ในราว พ.ศ.๒๓๕๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปะดุงของพม่า กะเกณฑ์ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะไพร่พลมอญเพื่อก่อสร้างเจดีย์มินกุนขนาดใหญ่ ชาวมอญได้รับความเดือดร้อนจึงก่อกบฏขึ้น และอพยพมายังไทย ครั้งนั้นทรงโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่สามโคก ปากเกร็ด และพระประแดง
“พวก มอญ ที่เมืองเมาะตะมะถูกพม่ากดขี่หนักเข้า จึงพร้อมใจกันจับเจ้าเมืองกรมการพม่าฆ่าเสีย แล้วพากันอพยพครอบครัวเข้ามาในพระราชอาณาจักร เดินเข้ามาทางเมืองตากบ้าง ทางเมืองอุทัยธานีบ้าง แต่โดยมากมาทางด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ เข้าแขวงเมืองกาญจนบุรี เมื่อได้ทรงทราบข่าวว่า ครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญอยู่ที่เมืองนนทบุรี จัดจากและไม้ปลูกสร้างบ้านเรือน และเสบียงอาหารของพระราชทานขึ้นไปพร้อมเสร็จ ทางเมืองกาญจนบุรีโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ คุมไพร่พลสำหรับป้องกันครัวมอญ และเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับครัวมอญทางหนึ่ง”
ชาว มอญ ที่อพยพมาทั้ง ๒ ครั้งนี้เองที่สืบทอดเป็นต้นตระกูลของชาวไทยเชื้อสายมอญปากเกร็ดในปัจจุบัน โดยเฉพาะการอพยพเข้ามาของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ในขณะนั้นบ้านเมืองเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ชาวไทยหลบหนีเข้าป่าไปมาก ผู้คนพลเมืองมีน้อย ประเทศชาติกำลังต้องการแรงงานด้านการเกษตรและกำลังป้องกันประเทศ ด้วยพะวักพะวงทัพพม่าที่ต้องการลงมาปราบกรุงะนบุรีที่ตั้งตัวขึ้นได้ใหม่ ชาวมอญจึงกลายเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งของกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินจึงโปรดฯให้พยาเจ่งและไพร่พลไปตั้งบ้านเรือนที่ปากเกร็ด ย่านบางพูด เพื่อคอยสกัดทัพพม่าที่อาจยกเข้ามาตีกรุงธนบุรีจากด้านทิศเหนือได้ รวมทั้งให้คอยตั้งด่านขนอนคอยเก็บภาษีเรือเข้าออกอีกด้วย
อาณาจักรไทย ทั้งในฐานะที่เป็นแรงงานภาคการเกษตร และเป็นกำลังป้องกันประเทศ
ชาว มอญ ได้รับการยอมรับให้เข้ารับราชการ ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนประกอบอาชีพได้อิสระ ชนชั้นปกครองของไทยเองก็ไม่ได้มองว่า “มอญ” เป็นชาวต่างชาติ ชาวมอญมีสิทธิเช่นเดียวกับชาวไทยทุกประการ หากชาวมอญทำเรื่องเสื่อมเสียก็ย่อมส่งผลถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของชาวไทยโดยรวม ดังปรากฏในพระราชกำหนดสมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๖ ที่ให้ถือว่าชาวมอญเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่าเทียมคนไทยตลอดจนหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในสังคมไทย เช่น กรณีเจ้าแม่วัดดุสิต หรือหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ซึ่งสมรสกับขุนนางผู้สืบตระกูลมาจากนายทหารมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามา บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิตคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้เป็นบรรพชนของพระปฐมบรมราชชนกในจักรีวงศ์ ทำให้ชาวมอญและชาวไทยมีความกลมกลืนใกล้ชิด ทั้งด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม
ปากเกร็ด ปัจจุบันนี้เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ มีฐานะเป็นแขวงเรียกว่า แขวงตลาดขวัญ และได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอในปีเดียวกัน มีนายอำเภอคนแรกเป็นชาวมอญชื่อ พระรามัญนนทเขตต์คดี (เนียม นนทนาคร) ซึ่งในอำเภออื่นๆ ของจังหวัดนนทบุรีก็มีชาวมอญอาศัยอยู่ประปราย ได้แก่ อำเภอเมือง บางกรวย บางบัวทอง บางใหญ่ และไทรน้อย แต่ในเขตอำเภอปากเกร็ดได้ชื่อว่าเป็นชุมชนมอญมาแต่โบราณ และอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แทบจะเต็มพื้นที่ของทั้ง ๑๒ ตำบล ได้แก่ ตำบลปากเกร็ด บางตลาด บางพูด บ้านใหม่ คลองเกลือ บางพลับ คลองพระอุดม บางตะไนย์ เกาะเกร็ด อ้อมเกร็ด ท่าอิฐ และตำบลคลองข่อย ยกเว้นตำบลท่าอิฐ ที่มีชาวอิสลามอาศัยอยู่เป็นส่วนมาก
ความหนาแน่นและเก่าแก่ของชาวมอญปากเกร็ดมีมาช้านาน แม้แต่ชื่อตำบลบางตะไนย์ ก็เป็นภาษามอญ ซึ่งแปลว่า ต้นข่อย(คะนาย) และ “ปากเกร็ด” ที่ผูกพันธ์กับ “มอญ” มีปรากฏในวรรณกรรมไทยหลายแห่ง เช่น นิราศเจ้าฟ้า ของสุนทรภู่
ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อน เที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน
มาถึงเตร็ดเขตมอญสลอนแล ลูกอ่อนแอ้อุ้มจูงพะรุงพะรัง
นิราศภูเขาทอง ของสุนทรภู่เช่นกัน กล่าวว่า
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
ครั้งแรก ในการอพยพราว พ.ศ.๒๓๑๖ มีเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) เป็นหัวหน้า สมัยกรุงธนบุรี ครั้งนั้นพระเจ้าตากสินทรงโปรดฯ ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ด ดังความในพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา ว่า
“ฝ่ายพวกรามัญที่หนีพม่ามานั้น พระยาเจ่ง ตละเสี้ยง ตละเกล็บ กับพระยากลางเมือง ซึ่งหนีเข้ามาครั้งกรุงเก่า พม่าตีกรุงได้นำตัวกลับไป และสมิงรามัญ นายไพร่ทั้งปวงพาครัวเข้ามาทุกด่านทุกทาง ให้ข้าหลวงไปรับมาถึงพระนครพร้อมกัน แล้วทรงพระกรุณาให้ตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองนนท์บ้าง เมืองสามโคกบ้าง แต่ฉกรรจ์จัดได้สามพัน โปรดให้หลวงบำเรอศักดิ์ครั้งกรุงเก่า เป็นเชื้อรามัญให้เป็นพระยารามัญวงศ์ เรียกว่า จักรีมอญ ควบคุมกองมอญใหม่ทั้งสิ้น และโปรดเกล้าฯ พระราชทานตราภูมิคุ้มห้ามสรรพากรขนอนตลาดทั้งปวง ให้ค้าขายทำมาหากินเป็นสุข แล้วให้เกณฑ์พระยารามัญวงศ์คุมกองมอญ ยกหนุนออกไปต่อรบพม่าอีกทัพหนึ่ง”
ครั้งที่ ๒ ในราว พ.ศ.๒๓๕๗ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระเจ้าปะดุงของพม่า กะเกณฑ์ผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะไพร่พลมอญเพื่อก่อสร้างเจดีย์มินกุนขนาดใหญ่ ชาวมอญได้รับความเดือดร้อนจึงก่อกบฏขึ้น และอพยพมายังไทย ครั้งนั้นทรงโปรดฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่สามโคก ปากเกร็ด และพระประแดง
“พวก มอญ ที่เมืองเมาะตะมะถูกพม่ากดขี่หนักเข้า จึงพร้อมใจกันจับเจ้าเมืองกรมการพม่าฆ่าเสีย แล้วพากันอพยพครอบครัวเข้ามาในพระราชอาณาจักร เดินเข้ามาทางเมืองตากบ้าง ทางเมืองอุทัยธานีบ้าง แต่โดยมากมาทางด่านพระเจดีย์ ๓ องค์ เข้าแขวงเมืองกาญจนบุรี เมื่อได้ทรงทราบข่าวว่า ครัวมอญอพยพเข้ามา จึงโปรดให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล เสด็จขึ้นไปคอยรับครัวมอญอยู่ที่เมืองนนทบุรี จัดจากและไม้ปลูกสร้างบ้านเรือน และเสบียงอาหารของพระราชทานขึ้นไปพร้อมเสร็จ ทางเมืองกาญจนบุรีโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎฯ คุมไพร่พลสำหรับป้องกันครัวมอญ และเสบียงอาหารของพระราชทานออกไปรับครัวมอญทางหนึ่ง”
ชาว มอญ ที่อพยพมาทั้ง ๒ ครั้งนี้เองที่สืบทอดเป็นต้นตระกูลของชาวไทยเชื้อสายมอญปากเกร็ดในปัจจุบัน โดยเฉพาะการอพยพเข้ามาของเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง) ในขณะนั้นบ้านเมืองเพิ่งฟื้นตัวจากภาวะสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา ชาวไทยหลบหนีเข้าป่าไปมาก ผู้คนพลเมืองมีน้อย ประเทศชาติกำลังต้องการแรงงานด้านการเกษตรและกำลังป้องกันประเทศ ด้วยพะวักพะวงทัพพม่าที่ต้องการลงมาปราบกรุงะนบุรีที่ตั้งตัวขึ้นได้ใหม่ ชาวมอญจึงกลายเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งของกรุงธนบุรี พระเจ้าตากสินจึงโปรดฯให้พยาเจ่งและไพร่พลไปตั้งบ้านเรือนที่ปากเกร็ด ย่านบางพูด เพื่อคอยสกัดทัพพม่าที่อาจยกเข้ามาตีกรุงธนบุรีจากด้านทิศเหนือได้ รวมทั้งให้คอยตั้งด่านขนอนคอยเก็บภาษีเรือเข้าออกอีกด้วย
อาณาจักรไทย ทั้งในฐานะที่เป็นแรงงานภาคการเกษตร และเป็นกำลังป้องกันประเทศ
ชาว มอญ ได้รับการยอมรับให้เข้ารับราชการ ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนประกอบอาชีพได้อิสระ ชนชั้นปกครองของไทยเองก็ไม่ได้มองว่า “มอญ” เป็นชาวต่างชาติ ชาวมอญมีสิทธิเช่นเดียวกับชาวไทยทุกประการ หากชาวมอญทำเรื่องเสื่อมเสียก็ย่อมส่งผลถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของชาวไทยโดยรวม ดังปรากฏในพระราชกำหนดสมัยอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ เมื่อ พ.ศ.๒๓๐๖ ที่ให้ถือว่าชาวมอญเป็นพลเมืองที่มีสิทธิเท่าเทียมคนไทยตลอดจนหล่อหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในสังคมไทย เช่น กรณีเจ้าแม่วัดดุสิต หรือหม่อมเจ้าหญิงอำไพ ราชธิดาของสมเด็จพระเอกาทศรถ (พระนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ซึ่งสมรสกับขุนนางผู้สืบตระกูลมาจากนายทหารมอญที่ติดตามสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเข้ามา บุตรของเจ้าแม่วัดดุสิตคือเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) ผู้เป็นบรรพชนของพระปฐมบรมราชชนกในจักรีวงศ์ ทำให้ชาวมอญและชาวไทยมีความกลมกลืนใกล้ชิด ทั้งด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม
ปากเกร็ด ปัจจุบันนี้เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๗ มีฐานะเป็นแขวงเรียกว่า แขวงตลาดขวัญ และได้รับการจัดตั้งขึ้นเป็นอำเภอในปีเดียวกัน มีนายอำเภอคนแรกเป็นชาวมอญชื่อ พระรามัญนนทเขตต์คดี (เนียม นนทนาคร) ซึ่งในอำเภออื่นๆ ของจังหวัดนนทบุรีก็มีชาวมอญอาศัยอยู่ประปราย ได้แก่ อำเภอเมือง บางกรวย บางบัวทอง บางใหญ่ และไทรน้อย แต่ในเขตอำเภอปากเกร็ดได้ชื่อว่าเป็นชุมชนมอญมาแต่โบราณ และอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น แทบจะเต็มพื้นที่ของทั้ง ๑๒ ตำบล ได้แก่ ตำบลปากเกร็ด บางตลาด บางพูด บ้านใหม่ คลองเกลือ บางพลับ คลองพระอุดม บางตะไนย์ เกาะเกร็ด อ้อมเกร็ด ท่าอิฐ และตำบลคลองข่อย ยกเว้นตำบลท่าอิฐ ที่มีชาวอิสลามอาศัยอยู่เป็นส่วนมาก
ความหนาแน่นและเก่าแก่ของชาวมอญปากเกร็ดมีมาช้านาน แม้แต่ชื่อตำบลบางตะไนย์ ก็เป็นภาษามอญ ซึ่งแปลว่า ต้นข่อย(คะนาย) และ “ปากเกร็ด” ที่ผูกพันธ์กับ “มอญ” มีปรากฏในวรรณกรรมไทยหลายแห่ง เช่น นิราศเจ้าฟ้า ของสุนทรภู่
ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อน เที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน
มาถึงเตร็ดเขตมอญสลอนแล ลูกอ่อนแอ้อุ้มจูงพะรุงพะรัง
นิราศภูเขาทอง ของสุนทรภู่เช่นกัน กล่าวว่า
ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา
เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย
มอญ เป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์มายาวนาน มีภาษาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ทั้งเลื่อมใสในพระพุทธศานาอย่างเคร่งครัดเป็นแบบอย่างแก่ประเทศข้างเคียง แม้จะได้อพยพเข้ามาอยู่ในแผ่นดินไทยนานหลายร้อยปีแล้ว ก็ยังคงสืบสานวัฒนธรรมมอญที่มีความโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะชาวมอญที่ปากเกร็ด ปัจจุบันเป็นชุมชนชาวไทยเชื้อสายมอญที่เข้มแข็งแห่งหนึ่ง ผู้คนได้รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีมอญเอาไว้ได้อย่างดี วัฒนธรรมมอญหลากหลายมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แพร่หลายและเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย เช่น เครื่องปั้นดินเผา อาหาร ดนตรี การแต่งกาย เป็นต้น ประเพณีมอญบางส่วนกลมกลืนไปกับวิถีชีวิตของไทยอย่างแยกไม่ออก เช่น สงกรานต์ ตักบาตรพระร้อย ล้างเท้าพระ ปล่อยนก ปล่อยปลา ค้ำโพธิ์ เป็นต้น


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น